ฉันและ ซาร่า โมเต้ ได้ก่อตั้งเอเจนซี่ MOTE ขึ้นมาในปี 2014 เราทั้งคู่เชี่ยวชาญด้านอีคอมเมิร์ซที่มีการออกแบบอันประณีต ระบบวิศวกรรมที่ล้ำสมัย และบริการระดับสูงให้กับตลาดที่ไม่เคยหยุดนิ่ง ในฐานะที่ฉันเป็นผู้พัฒนาเว็บ ฉันได้บ่มเพาะความกระหายในการสร้างสรรค์สิ่งใหม่ ๆ และมุ่งเน้นไปที่การสร้างเว็บไซต์ให้กับแบรนด์ต่าง ๆ ที่ต้องการสร้างความสัมพันธ์อันยั่งยืนกับกลุ่มเป้าหมาย นี่คือข้อมูลเชิงลึกบางส่วนที่รวบรวมมาจากประสบการณ์ 26 ปีของฉัน
เมื่อออกแบบเว็บไซต์อีคอมเมิร์ซ เป้าหมายควรเป็นการสร้างสิ่งที่สวยงามและมีกลยุทธ์ ซึ่ง Shopify ทำให้การสร้างเว็บไซต์อีคอมเมิร์ซเป็นเรื่องง่าย ถึงแม้คุณจะไม่มีประสบการณ์เรื่องเขียนโค้ดหรือการออกแบบมาก่อนก็ตาม
Shopify คือแพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซชั้นนำที่ช่วยให้ผู้ค้าสามารถสร้างร้านค้าออนไลน์โดยใช้ธีมที่ปรับแต่งเองได้ และเว็บไซต์ Shopify ยังมาพร้อมกับประสบการณ์การชำระเงินได้ในคลิกเดียวและฟีเจอร์ AI ที่ช่วยคุณเขียนคำอธิบายสินค้า คำตอบสำหรับคำถามที่พบบ่อย และอีเมลการตลาด
เครื่องมือเหล่านี้ใช้งานง่าย ทำให้ตอนนี้คุณสามารถเริ่มขายจากเว็บไซต์ที่คุณทำทุกอย่างเองได้แล้ว หรือจะจ้างนักออกแบบมืออาชีพเมื่อร้านค้า Shopify ของคุณเติบโตขึ้นก็ได้

วิธีออกแบบเว็บไซต์ Shopify
- สร้างแนวทางสไตล์สำหรับแบรนด์
- เลือกธีม
- เพิ่มองค์ประกอบแบรนด์
- ตรวจสอบประสิทธิภาพ
- ให้ความสำคัญกับการคัดสรร
- ทุกช่องทางการขายต้องไปในทางเดียวกัน
เมื่อออกแบบเว็บไซต์ Shopify สิ่งที่สำคัญที่สุดคือการสร้างพื้นฐานที่มั่นคง ซึ่งก็คือประสิทธิภาพและและความสะดวกในการใช้งาน ขณะเดียวกันก็ต้องสร้างแบรนด์เพื่อให้โดดเด่นในตลาดตั้งแต่เริ่มต้น
นี่คือวิธีที่ดีที่สุดในการออกแบบเว็บไซต์ Shopify
1. สร้างแนวทางสไตล์สำหรับแบรนด์
ก่อนที่คุณจะสร้างเว็บไซต์ คุณต้องตัดสินใจเกี่ยวกับแบรนด์ หากคุณมีแนวทางของแบรนด์อยู่แล้วก็จะดีมาก แต่ถ้าไม่มี คุณก็จะต้องกำหนดประเภทตัวอักษร สีแบรนด์ และโลโก้
ประเภทตัวอักษร
เริ่มต้นด้วยฟอนต์ที่อ่านง่ายแต่ไม่ธรรมดา เช่น Basic Commercial จากคลังฟอนต์ของ Shopify ซึ่งเป็นฟอนต์ฟรีที่ให้ความรู้สึกพรีเมียม ที่มีแบรนด์หรูอย่าง The Row ใช้อยู่
ประเภทตัวอักษรสามารถสื่อถึงบุคลิกได้ในทันที โดยฟอนต์ที่คุณเลือกยังส่งผลต่อเค้าโครงกริดของเว็บไซต์ด้วยโดยเฉพาะในเรื่องการจัดระเบียบภาพ ดังนั้นควรเริ่มจากจุดนี้และสร้างจากเค้าโครงตรงนี้
สี
พาเลตสีที่คุณเลือกสามารถสร้างอิทธิพลต่อความรู้สึกของผู้บริโภคเกี่ยวกับแบรนด์ของคุณได้ รวมถึงวิธีที่ผู้บริโภคจะเข้าใจข้อมูลบนเว็บไซต์ พาเลตสีที่มีความเปรียบต่างหรือคอนทราสต์สูงนั้นเป็นตัวเลือกที่ดีเพราะอ่านง่ายที่สุดและเข้าถึงได้ในวงกว้างที่สุด
ตัวอย่างเช่น คุณสามารถเลือกสีดำและขาวเป็นพาเลตสีสำหรับแบรนด์ได้ และถึงแม้จะเป็นสีพื้นฐาน คุณก็สามารถถ่ายทอดอารมณ์และแบรนด์ได้โดยเลือกเฉดสีดำและขาวแบบเฉพาะ เช่น สีถ่านและสีขาวขุ่นโทนอุ่น
โลโก้
โลโก้เป็นองค์ประกอบที่สำคัญในการสร้างการรับรู้และจดจำแบรนด์สำหรับธุรกิจ ซึ่งควรใช้เวลากับการสร้างโลโก้ของคุณให้เป็นอะไรที่น่าจดจำและถ่ายทอดแก่นแท้ของแบรนด์ได้
หากคุณกำลังมองหานักออกแบบ พวกเขาจะมีตัวเลือกผลงานมากมายให้เลือก และจะปรับแต่งโลโก้ตามแบบที่คุณเลือกไว้ หากการจ้างนักออกแบบนั้นเกินงบประมาณในตอนนี้ คุณสามารถใช้เครื่องมือสร้างโลโก้ออนไลน์เพื่อสร้างโลโก้แรกได้

2. เลือกธีม
Shopify Theme Store มีธีมให้คุณเลือกมากมาย รวมถึงธีมแบบจ่ายเงินซึ่งมีราคาสูงถึง 450 ดอลลาร์
ถ้ายังไม่แน่ใจว่าจะเริ่มจากตรงไหน ลองใช้ Dawn ซึ่งเป็นธีม Shopify ฟรีที่แสดงผลบนมือถือได้อย่างยอดเยี่ยม ซึ่งเป็นสิ่งสำคัญมากสำหรับการทำให้ผู้เข้าดูตัดสินใจซื้อ เป็นรากฐานที่สมบูรณ์แบบสำหรับร้าน Shopify ที่มีคุณภาพ
เมื่อคุณเปรียบเทียบธีม ให้พิจารณาจากสิ่งต่อไปนี้
งบประมาณ
หากคุณเป็นเจ้าของธุรกิจรายใหม่ที่มีเงินทุนจำกัด คุณอาจต้องใช้ธีมฟรีเพื่อดูว่าจะทำได้ดีแค่ไหน โดยเมื่อธุรกิจเติบโตขึ้น ทีนี้คุณจะอัปเกรดเป็นธีมพรีเมียมก็ได้ และเมื่อถึงเวลานั้น คุณจะเข้าใจชัดเจนยิ่งขึ้นว่าฟีเจอร์ตัวไหนบ้างที่คุ้มค่าต่อการจ่ายเงิน ในกรณีที่คุณต้องการฟีเจอร์เพิ่มเติมแต่ไม่มีงบจ้างนักออกแบบ ธีมพรีเมียมอาจเป็นตัวเลือกที่ดี
ขนาดของแค็ตตาล็อกสินค้า
ในส่วนหนึ่งแล้ว การเลือกธีมจะถูกกำหนดโดยจำนวนสินค้าที่มีอยู่ในแค็ตตาล็อก ธีมฟรีและธีมแบบชำระเงินส่วนใหญ่จะรองรับสินค้าได้มากกว่า 200 รายการ แต่ก็มีธีมคุณภาพบางธีม (เช่น Dawn) ที่มีแค็ตตาล็อกสูงสุด 199 รายการ และธีมไม่กี่ตัวที่มีสินค้ามากถึง 9 รายการ โดยคุณสามารถคัดกรองธีมตามขนาดแค็ตตาล็อกได้อย่างง่ายดายภายใน Shopify Theme Store
ฟีเจอร์ของเว็บไซต์
หากร้านค้า Shopify ของคุณต้องการฟีเจอร์เฉพาะบางอย่าง เช่น ระบบการไปยังส่วนต่าง ๆ ของเว็บไซต์แบบคงที่ วิดีโอ หรือการซื้ออย่างรวดเร็ว คุณสามารถใช้แถบค้นหาภายใน Shopify Theme Store เพื่อค้นหาเฉพาะธีมที่มีฟีเจอร์ที่กำหนดเท่านั้น
ประสบการณ์ใช้งานบนมือถือ
หากการเข้าชมเว็บไซต์ส่วนใหญ่มาจากมือถือ ตัวอย่างเช่น ลูกค้ามักจะพบสินค้าผ่าน Instagram หรือ TikTok คุณอาจต้องการให้ความสำคัญกับการโหลดที่รวดเร็วมากกว่าฟีเจอร์สุดล้ำอย่างวิดีโอหรือเมนูขนาดใหญ่
ผู้ใช้มือถืออาจไม่ได้ใช้ฟีเจอร์เหล่านี้เลย และอาจออกจากเว็บไซต์หากเว็บไซต์ใช้เวลาโหลดนานเกินไปในโทรศัพท์ ซึ่งตรงนี้มีประโยชน์มากยิ่งขึ้นในการปรับปรุงการเพิ่มประสิทธิภาพเครื่องมือค้นหา (SEO) อีกด้วย เมื่อเปรียบเทียบทธีม อย่าลืมลองดูธีมเดโมในเวอร์ชันบนมือถือ (โดยควรเช็คดูจากโทรศัพท์)

3. เพิ่มองค์ประกอบแบรนด์
เมื่อคุณเลือกธีมได้แล้ว ทีนี้ก็ถึงเวลาเพิ่มองค์ประกอบแบรนด์แล้ว นี่คือวิธีเพิ่มองค์ประกอบของแบรนด์ลงในเว็บไซต์ Shopify
เพิ่มโลโก้และสีแบรนด์
ใน Shopify Admin ของคุณ ให้เลือก การตั้งค่า (Settings) > ทั่วไป (General) จากนั้นเลือก จัดการ (Manage) ในส่วนขององค์ประกอบแบรนด์ โดยคุณสามารถเพิ่มโลโก้และสีแบรนด์ได้ ซึ่งจะถูกนำไปใช้โดยอัตโนมัติในธีม Shopify และช่องทางอื่น ๆ ที่มี Brand API
ปรับแต่งธีม
คุณสามารถปรับแต่งร้านค้า Shopify เพิ่มเติมได้ในโปรแกรมแก้ไขธีม โดยไปที่ร้านค้าออนไลน์ (Online Store) > ธีม (Theme) จากนั้นคลิกธีมที่คุณต้องการแก้ไข และเลือกปรับแต่ง (Customize) จากนั้นคลิกไอคอนรูปเฟืองของการตั้งค่าธีมเพื่อปรับแต่งทุกอย่างตั้งแต่ตัวอักษรไปจนถึงลักษณะเค้าโครง เช่น ระยะห่างแนวนอนและแนวตั้ง
สร้างประสบการณ์การชำระเงินของแบรนด์
นี่คือรายละเอียดเล็ก ๆ น้อย ๆ ที่สามารถบอกอะไรได้มากมายเกี่ยวกับแบรนด์ หากต้องการประสบการณ์ที่เป็นของแบรนด์อย่างแท้จริง คุณจะต้องปรับแต่งประสบการณ์การชำระเงิน รวมถึงหน้าขอบคุณและสถานะคำสั่งซื้อที่ปรากฏขึ้นหลังจากชำระเงินในร้านค้า Shopify
ทั้งหมดนี้ควรสอดคล้องกับรูปลักษณ์และความรู้สึกในส่วนอื่น ๆ ของเว็บไซต์ โดยคุณสามารถเพิ่มโลโก้และเปลี่ยนสีและฟอนต์ได้ในส่วนของ Shopify Admin โดยไปที่การตั้งค่า (Settings) > ชำระเงิน (Checkout) > ปรับแต่ง (Customize)
แก้ไขเทมเพลตอีเมลของคุณ
เมื่อมีลูกค้าสั่งซื้อ คุณมีโอกาสที่จะสร้างความสัมพันธ์กับลูกค้าได้ แทนที่จะทำแค่การส่งอีเมลทั่วไป ให้สร้างเทมเพลตอีเมลที่มีแบรนด์ใน Shopify Admin
ไปที่ การตั้งค่า (Settings) > การแจ้งเตือน (Notifications) > การแจ้งเตือนลูกค้า (Customer Notifications) > ปรับแต่งเทมเพลตอีเมล (Customize email template)
เพิ่มโลโก้และสีแบรนด์เพื่อทำให้อีเมลนั้นเป็นที่จดจำได้ในแรกเห็น อย่าลืมแก้ไขข้อความด้วย เพื่อเน้นย้ำลูกค้าถึงคุณค่าที่มีร่วมกัน หรือสร้างความตื่นตาตื่นใจให้ลูกค้าในการซื้อของด้วยการให้ข้อมูลสินค้า และอย่าลืมใส่เสียงและบุคลิกของแบรนด์ลงในอีเมลด้วย
รวมภาพถ่าย
เว็บไซต์ที่เรียบง่ายและใช้งานง่ายไม่จำเป็นต้องน่าเบื่อ คุณสามารถถ่ายทอดบุคลิกภาพของแบรนด์ได้มากมายผ่านภาพถ่ายไลฟ์สไตล์และภาพถ่ายสินค้าให้สอดคล้องกับภาพในหน้าสินค้า ตัวอย่างเช่น คุณอาจถ่ายภาพสินค้าแต่ละชิ้นบนพื้นหลังสีเดียวกันในแสงธรรมชาติแบบเดียวกัน
ภาพถ่ายสินค้าที่มีคุณภาพสูงจะทำให้ลูกค้ามั่นใจในการซื้อ แต่ทั้งนี้สี เนื้อสัมผัส และอุปกรณ์ที่คุณเลือกยังสามารถสร้างอารมณ์และสร้างแบรนด์ได้อีกด้วย

4. ตรวจสอบประสิทธิภาพ
เว็บไซต์ของคุณอาจดูดีที่สุดในโลก แต่ทุกอย่างจะไร้ประโยชน์ถ้าลูกค้าไม่สามารถโหลดดูได้อย่างรวดเร็ว นี่คือเหตุผลที่ฟังก์ชันการทำงานของเว็บไซต์ควรเป็นสิ่งสำคัญอันดับแรกเมื่อออกแบบร้าน Shopify และเว็บไซต์
Core Web Vitals คือมาตรฐานในการวัดประสิทธิภาพเว็บไซต์ โดยเป็นคำที่ Google ใช้เรียกฟังก์ชันพื้นฐานที่ผู้ใช้ให้ความสำคัญมากที่สุดอย่างความเร็วในการโหลด การโต้ตอบ และความเสถียรของภาพ
หาก Core Web Vitals ของคุณไม่ดี อาจทำให้ผู้เข้าชมเว็บไซต์รู้สึกไม่ประทับใจ หรือแม้แต่ออกจากเว็บไซต์ไปเลย ซึ่งจะเพิ่มอัตราการออกจากเว็บไซต์ให้สูงขึ้น ยิ่งไปกว่านั้นผู้ชมอาจไม่เจอเว็บไซต์ของคุณเลย เนื่องจากเครื่องมือค้นหาจะลดความสำคัญของเว็บไซต์ในผลลัพธ์หาก Core Web Vitals ไม่เป็นไปตามมาตรฐาน
คุณสามารถตรวจสอบ Core Web Vitals ของคุณได้ใน Shopify Admin โดยไปที่ ช่องทางการขาย (Sales channels) > ร้านค้าออนไลน์ (Online Store) > ธีม (Themes)

ข้อดีอย่างหนึ่งของการใช้ธีมมินิมอลอย่าง Dawn ก็คือการทำงานได้ดีตั้งแต่เริ่มต้น (ธีม Shopify ทั้งหมดได้รับการตรวจสอบด้านความเร็วและความน่าเชื่อถือแล้ว) หากคุณเริ่มจากพื้นฐานที่มั่นคงอย่างประสิทธิภาพ คุณจะมองเห็นได้อย่างง่ายดายว่าการเปลี่ยนแปลงส่งผลต่อเว็บอย่างไร
การออกแบบเว็บไซต์ Shopify เป็นเรื่องของความสมดุล ตัวอย่างเช่น วิดีโออาจเป็นสื่อการเล่าเรื่องที่น่าดึงดูด แต่ขนาดไฟล์ที่ใหญ่ก็อาจทำให้โหลดได้ช้าลง
สำหรับแบรนด์เครื่องประดับ Jacquie Aiche วิธีแก้ปัญหาคือการแสดงรูปภาพ Placeholder ให้กับผู้ใช้ที่มีการเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตช้า วิธีนี้จะไม่ทำให้ประสบการณ์ของผู้ใช้แย่ลง ไม่ว่าความเร็วในการโหลดจะเป็นอย่างไรก็ตาม
วิดีโอ รูปภาพขนาดใหญ่ และองค์ประกอบภาพอื่น ๆ ไม่ใช่สิ่งเดียวที่จะส่งผลต่อความเร็วของเว็บไซต์ ปลั๊กอิน ซึ่งเป็นส่วนของโค้ดจากภายนอกที่เพิ่มฟีเจอร์ให้กับเว็บไซต์ Shopify หรือเชื่อมต่อกับแพลตฟอร์มอื่น ๆ ก็สามารถทำให้เว็บไซต์ช้าลงได้เช่นกัน
คุณจะต้องตัดสินใจว่าฟีเจอร์ใดบ้างที่คุ้มค่าที่จะเพิ่มประสิทธิภาพ และคุณเต็มใจที่จะแลกเปลี่ยนเพื่อให้ได้ Web Vitals อย่างไร เพื่อให้ไดประสบการณ์บนเว็บไซต์ที่มีแบรนด์ของคุณ
5. ให้ความสำคัญกับการคัดสรร
ในฐานะเจ้าของร้านค้าออนไลน์ คุณมีความสามารถที่จะโน้มน้าวใจลูกค้าในการตัดสินใจด้านการค้าได้ การคัดสรรสินค้าถือเป็นองค์ประกอบสำคัญของการขายสินค้าผ่านอีคอมเมิร์ซที่มีคุณภาพ นักเศรษฐศาสตร์พฤติกรรมเรียกสิ่งนี้ว่า “การออกแบบและสร้างตัวเลือก” ซึ่งเป็นคำที่ Richard Thaler และ Cass Sunstein คิดขึ้นในหนังสือ Nudge
ตัวอย่างของการออกแบบและสร้างตัวเลือกคือ สมมติว่าคุณมีสินค้าคอลเลกชันใหม่ แทนที่จะแสดงสินค้าตามลำดับก่อนหลัง คุณจะจัดเรียงสินค้าด้วยตัวคุณเองเพื่อให้สินค้าที่ดูดีอยู่ติดกัน
การคัดสรรในลักษณะที่ใส่ใจนี้สามารถส่งผลทางจิตวิทยาที่ละเอียดอ่อนซึ่งสร้างความไว้วางใจให้กับลูกค้าได้ โดยลูกค้าอาจคิดว่า “ถ้าแบรนด์นี้ใส่ใจกับการจัดเรียงสินค้าขนาดนี้ แบรนด์ก็น่าจะสนใจกับความชื่นชอบของลูกค้าด้วย” โปรแกรมแก้ไขธีมแบบลากและวางของ Shopify ทำให้การจัดเรียงสินค้าและรูปภาพใหม่เป็นเรื่องง่าย ทั้งนี้เพื่อประสบการณ์ที่ดีที่สุดสำหรับลูกค้า
หน้าคอลเลกชันไม่ใช่ที่เดียวที่คุณจะสามารถโชว์ฝีมือในฐานะผู้คัดสรร แอป Search & Discovery ของ Shopify ช่วยให้คุณแสดงสินค้าเพิ่มเติมในหน้าสินค้าทุกหน้าได้
ตัวอย่างเช่น หากคุณเป็นเจ้าของร้านขายแฟชั่น และมีคนกำลังดูหน้าสินค้าเสื้อยืด นี่เป็นโอกาสทองในการนำเสนอว่า “เสื้อยืดตัวนี้น่าจะเข้ากันได้ดีกับกางเกงและแจ็คเก็ตตัวนี้นะ” การคัดสรรสินค้าที่ส่งเสริมกันนั้นไม่เพียงช่วยสร้างความน่าเชื่อถือเพียงอย่างเดียว แต่ยังมีประโยชน์คืออาจเพิ่มมูลค่าการสั่งซื้อโดยเฉลี่ยได้อีกด้วย

6. ทุกช่องทางการขายต้องไปในทางเดียวกัน
ร้านค้า Shopify ของคุณอาจไม่ใช่ที่เดียวที่ลูกค้าสามารถค้นหาธุรกิจอีคอมเมิร์ซได้ หากคุณใช้โซเชียลมีเดียหรือแพลตฟอร์มอื่น ๆ สิ่งสำคัญคือต้องทำให้ร้านค้า Shopify เป็นส่วนหนึ่งของกลยุทธ์การขายหลายช่องทาง
ตัวอย่างเช่น สมมติว่าคุณกำลังทำแคมเปญการตลาดแบบใช้อินฟลูเอนเซอร์บน Instagram ให้ใส่รูปภาพของอินฟลูเอนเซอร์คนนี้ไว้บนหน้าแรก วิธีนี้จะทำให้ลูกค้าเข้าสู่เว็บไซต์ผ่าน Instagram โดยลูกค้าจะรู้สึกถึงความต่อเนื่องไม่สะดุด ได้รับการตอบสนองความคาดหวัง และคุณจะเริ่มสร้างความไว้วางใจได้ทันที

ใน Shopify App Store คุณจะเจอแอปที่ช่วยให้คุณเชื่อมต่อเว็บไซต์ Shopifyกับช่องทางอื่น ๆ เช่น Instagram และ TikTok เพื่อให้คุณสามารถจัดการแคมเปญทั้งหมดได้จากที่เดียว นั่นคือ Shopify Admin
การทำทุกอย่างได้ในที่เดียวนั้นทำให้การปรับแต่งสำหรับการสร้างแบรนด์ง่ายขึ้นมากและเป็นไปอย่างสอดคล้องกัน
เมื่อใดที่ควรจ้างนักออกแบบสำหรับร้าน Shopify
เมื่อแบรนด์ติบโตขึ้น คุณอาจรู้สึกว่าการจัดการเว็บไซต์ของคุณเองนั้นไม่เข้าท่าอีกต่อไป
นี่คือสถานการณ์ที่บ่งบอกว่าคุณควรจ้างนักออกแบบสำหรับร้าน Shopify ได้แล้ว
- การทำงานเกี่ยวกับเว็บไซต์ทำให้คุณไม่สามารถทำกิจกรรมทางธุรกิจที่สำคัญในร้าน Shopify ได้ เช่น การออกแบบสินค้า การคัดสรรคอลเลกชัน หรือการบริหารจัดการพนักงาน
- ธีมจาก Shopify ไม่ตอบสนองความต้องการอีกต่อไป
- คุณกำลังรีแบรนด์และอยากได้เว็บไซต์ใหม่ที่เข้ากัน
นักออกแบบหรือผู้พัฒนาที่ดีจะคอยช่วยเหลือคุณเมื่อแบรนด์เติบโต โดยจะตรวจสอบข้อมูลวิเคราะห์ทุกเดือนเพื่อแนะนำการอัปเดตหรือการออกแบบใหม่ นอกจากนี้เมื่อความต้องการของเว็บไซต์มีความซับซ้อนมากขึ้น พวกเขายังสามารถเพิ่มฟีเจอร์ได้ตามที่คุณกำหนด ซึ่งเป็นฟีเจอร์ที่ไม่มีอยู่ในเทมเพลตแบบพร้อมใช้งานด้วย
คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับการสร้างเว็บไซต์ Shopify
การสร้างเว็บไซต์ Shopify มีค่าใช้จ่ายเท่าไร?
คุณสามารถสร้างเว็บไซต์ Shopify พร้อมโดเมนที่กำหนดเองในราคาเพียงเดือนละ 29 ดอลลาร์ ด้วยแพ็คเกจ Shopify แบบพื้นฐาน ซึ่งมีทุกอย่างที่ผู้ประกอบการร้านค้าออนไลน์อย่างคุณต้องการ คุณสามารถเลือกแพ็คเกจได้ตามขนาดของทีมดังนี้
- แพ็คเกจพื้นฐานของ Shopify มาพร้อมกับผู้ใช้บัญชี Shopify หนึ่งราย
- แพ็คเกจ Shopify มาตรฐาน จะมีบัญชีพนักงานเพิ่มเติม 5 บัญชี (79 ดอลลาร์/เดือน)
- Shopify Advanced จะทำให้คุณมีบัญชีพนักงานเพิ่มเติม 15 บัญชี (299 ดอลลาร์/เดือน)
- ผู้ค้าที่มีปริมาณการซื้อขายสูงสามารถอัปเกรดเป็น Shopify Plus ซึ่งจะมีบัญชีพนักงานได้ไม่จำกัดจำนวนและความสามารถของ B2B (2,300 ดอลลาร์/เดือน)
ต้องมีประสบการณ์เขียนโค้ดเพื่อสร้างเว็บไซต์ Shopify หรือไม่?
โปรแกรมแก้ไขธีมแบบลากและวางของ Shopify ช่วยให้คุณปรับแต่งเว็บไซต์อีคอมเมิร์ซได้อย่างง่ายดาย โดยไม่ต้องเขียนโค้ด ดังนั้นคุณไม่จำเป็นต้องมีประสบการณ์ในการเขียนโค้ดเพื่อสร้างเว็บไซต์ Shopify และเริ่มขายในร้านค้าออนไลน์เองเลย
จะจ้างนักออกแบบเพื่อสร้างเว็บไซต์ Shopify ได้อย่างไร?
มีนักออกแบบเว็บไซต์มากมายที่เชี่ยวชาญการสร้างเว็บไซต์ Shopify คุณสามารถค้นหานักออกแบบเหล่านี้ได้ในไดเรกทอรีของ Shopify Partners