อีคอมเมิร์ซมีหลายความหมาย เป็นการค้าข้ามพรมแดน เป็นธุรกิจที่ไร้ขอบเขต และเป็นการค้าปลีกออนไลน์ระหว่างประเทศ แต่สิ่งที่สำคัญกว่าความหมายของมันคือสิ่งที่มันไม่เป็น
อีคอมเมิร์ซไม่ใช่ความหรูหรา และไม่ใช่แค่กลยุทธ์หนึ่งในบรรดาหลายกลยุทธ์ การเปลี่ยนมาเป็นธุรกิจออนไลน์คือความจำเป็น งานวิจัยล่าสุดเผยว่าผู้บริโภคประมาณ 2.7 พันล้านคน จะช้อปปิ้งออนไลน์ในปี 2024
น่าเสียดายที่อีคอมเมิร์ซก็เต็มไปด้วยคำถามว่า ควรลงทุนที่ไหน? ประเทศใดเหมาะสมกับผลิตภัณฑ์และตลาดของเราที่สุด? จะดึงดูดผู้ซื้อที่ไม่ใช่คนในพื้นที่ได้อย่างไร? อะไรคือสิ่งที่สำคัญที่สุด: การแปลภาษา สกุลเงิน ตัวเลือกการชำระเงิน หรือสิ่งอื่นใด?
บทความนี้จะให้ข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับอีคอมเมิร์ซทั่วโลก พร้อมเคล็ดลับเกี่ยวกับวิธีการที่คุณจะสามารถขยายธุรกิจสู่ตลาดนี้ได้
อีคอมเมิร์ซแบบทั่วโลก คืออะไร
อีคอมเมิร์ซทั่วโลก คือการขายสินค้าหรือบริการข้ามพรมแดนทางภูมิรัฐศาสตร์จากประเทศต้นกำเนิดของบริษัท ซึ่งโดยปกติจะกำหนดจากสถานที่ก่อตั้งหรือจดทะเบียน สินค้าหรือบริการเหล่านี้ถูกขายไปยังตลาดที่ไม่ใช่ตลาดท้องถิ่นผ่านการขายและการตลาดออนไลน์
ข้อดีของการทำอีคอมเมิร์ซระหว่างประเทศคือ
- ขยายธุรกิจเข้าสู่ตลาดต่างประเทศได้ง่ายขึ้น
- ค้นหาความเหมาะสมระหว่างผลิตภัณฑ์กับตลาดได้ง่ายขึ้น
- วงจรการขายแบบ B2B สั้นลง
- สร้างการรับรู้ในระดับนานาชาติได้เร็วขึ้น
- อุปสรรคในการเข้าสู่ตลาดต่ำลง
ทั่วโลกมีการคาดการณ์ว่าอีคอมเมิร์ซแบบ B2B จะมีมูลค่าสูงถึง 36 ล้านล้านดอลลาร์ภายในปี 2026 และอีคอมเมิร์ซแบบ B2C จะมีมูลค่าสูงถึง 5.5 ล้านล้านดอลลาร์ภายในปี 2027
ตลาดอีคอมเมิร์ซมีขนาดใหญ่แค่ไหน
สถิติอีคอมเมิร์ซทั่วโลกคาดว่าจะมีมูลค่าตลาดรวม 6.3 ล้านล้านดอลลาร์ในปี 2023 ตัวเลขนี้คาดว่าจะเติบโตในอีกไม่กี่ปีข้างหน้า แสดงให้เห็นว่าอีคอมเมิร์ซที่ไร้พรมแดนกำลังกลายเป็นทางเลือกที่ทำกำไรได้สำหรับผู้ค้าปลีกออนไลน์ โดยในปี 2024 คาดว่า 21.2% ของยอดขายค้าปลีกทั้งหมดจะเกิดขึ้นทางออนไลน์

Casey Armstrong ซึ่งเป็น CMO ของ ShipBob แบรนด์ให้บริการจัดการคำสั่งซื้ออีคอมเมิร์ซ กล่าวเสริมว่า "แม้ว่าความสนใจส่วนใหญ่อิคอมเมิร์ซจะมุ่งไปที่สหรัฐอเมริกาและแคนาดา แต่ก็มีหลายสิ่งให้เรียนรู้จากผู้เล่นต่างประเทศรายใหญ่อื่นๆ ที่กำลังเห็นอัตราการเติบโตของอีคอมเมิร์ซที่เร็วยิ่งกว่า"
"ผู้ค้าสามารถปรับเปลี่ยนสถานที่ขายสินค้าของตนได้ โดยอิงจากข้อมูลนี้และความต้องการอีคอมเมิร์ซจากประเทศเหล่านั้น ที่ ShipBob นี่คือเหตุผลที่เราได้เปิดศูนย์จัดการคำสั่งซื้อในแคนาดาและสหราชอาณาจักร และกำลังจะเปิดเพิ่มอีกแห่งในออสเตรเลีย"
15 สถิติอีคอมเมิร์ซที่สำคัญ
ถ้าคุณกำลังทำร้านค้าออนไลน์อยู่ การอัปเดตข้อมูลเกี่ยวกับอุตสาหกรรมอีคอมเมิร์ซอยู่เสมอถือเป็นเรื่องสำคัญสำหรับการเพิ่มรายได้ให้ได้มากที่สุด ข้างล่างนี้คือสถิติเด่นๆ จากทั่วโลก เพื่อช่วยให้คุณเตรียมพร้อมสำหรับปีที่กำลังจะมาถึง
- LATAM (ละตินอเมริกา) จะยังคงเปิดรับและนำอีคอมเมิร์ซมาใช้อย่างต่อเนื่องในอีกหลายปีข้างหน้า
- ตลาดอีคอมเมิร์ซของฟิลิปปินส์กำลังเติบโตเร็วที่สุดในโลก
- เกือบครึ่งหนึ่งของนักช้อปชาวสหรัฐฯ วางแผนที่จะใช้จ่ายออนไลน์เพิ่มขึ้นในปี 2024
- ณ เดือนมกราคม 2024 อัตราการเปลี่ยนเป็นลูกค้า (Conversion Rate) โดยเฉลี่ยของเว็บไซต์อีคอมเมิร์ซอยู่ที่ 1.88% ซึ่งเพิ่มขึ้น 0.14% จากปีก่อนหน้า
- คาดการณ์ว่าอีคอมเมิร์ซแบบ B2C ทั่วโลกจะแตะมูลค่า 9 ล้านล้านดอลลาร์ ภายในปี 2032
- การค้าผ่านโซเชียลมีเดีย (Social Commerce) พร้อมที่จะเติบโตด้วยอัตรา CAGR ที่ 30% ตั้งแต่ปี 2023 ถึง 2030
- 89% ของผู้ค้าปลีกคาดการณ์ว่าจะมีรายได้เพิ่มขึ้นระหว่าง 1% ถึง 9% ในปี 2024
- 47% ของผู้นำในอุตสาหกรรมระบุว่า ความสามารถในการทำกำไรของอีคอมเมิร์ซเป็นปัจจัยขับเคลื่อนหลักในการเพิ่มอัตรากำไรจากการดำเนินงานในปี 2024
- 97% ของบริษัททั่วโลกได้ปรับเปลี่ยนโครงสร้างซัพพลายเชนของตนใหม่ในปี 2023
- เวลารอสินค้า (Global lead time) สำหรับวัสดุการผลิตทั่วโลกในเดือนเมษายน 2024 อยู่ที่ 79 วัน
- อัตราค่าจัดส่งเพิ่มขึ้นถึง 193% นับตั้งแต่เดือนตุลาคม 2023
- 46% ของผู้ตอบแบบสำรวจจากภาคค้าปลีกคาดหวังว่า AI จะช่วยเพิ่มการมองเห็นซัพพลายเชนแบบครบวงจร
- การลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศในอเมริกาเหนือเติบโตขึ้น 134% นับตั้งแต่ปี 2020
แนวโน้มสถิติอีคอมเมิร์ซทั่วโลกที่ควรจับตามอง
1. ความกดดันจากเงินเฟ้อทั่วโลก
สำหรับลูกค้าทั่วโลก เงินเฟ้อกลายเป็นความกังวลหลักที่ 40% ของผู้ตอบแบบสอบถาม มากกว่าความยากจนและความไม่เท่าเทียมทางสังคม (31%) การว่างงานและงาน (26%) และโควิด-19 (12%)
ในขณะที่ผู้คนยังคงใช้จ่ายเงิน แบรนด์ระดับโลกไม่ได้รับการยกเว้นจากแรงกดดันของเงินเฟ้อ ดังนั้นหากคุณวางแผนที่จะใช้อีคอมเมิร์ซข้ามพรมแดน คุณจะต้องพิจารณาผลกระทบของเงินเฟ้อต่อการตัดสินใจซื้อของลูกค้า
ในสัมภาษณ์ล่าสุดของ Glossy กับ JuE Wong ซึ่งเป็น CEO ของ Olaplex เธอได้อธิบายว่าแม้ว่ายอดขายสุทธิจะเพิ่มขึ้น 38.6% ในไตรมาสที่ 2 ปี 2022 แต่ Olaplex ก็ไม่ได้รับการยกเว้นจากเงินเฟ้อระดับโลก เศรษฐศาสตร์มหภาค และสถานการณ์ทางภูมิศาสตร์การเมือง ดังนั้น Wong กล่าวว่าขณะที่ธุรกิจมีเงินสดมากมาย จะลงทุนในเทคโนโลยี (เช่น โซลูชันอีคอมเมิร์ซ) และความสามารถทางเทคโนโลยีเพื่อช่วยขับเคลื่อนการเติบโต
ด้วยความกังวลนี้ คุณจึงควรศึกษาอัตราเงินเฟ้อของประเทศที่คุณจะมุ่งเป้าไป และปรับกลยุทธ์การตั้งราคาจากข้อมูลที่คุณรวบรวมได้
2. ผู้บริโภคจะช้อปปิ้งผ่านสมาร์ทโฟนมากขึ้น
ผู้บริโภคชอบความสะดวกสบายสุดๆ นี่แหละคือเหตุผลที่พวกเขาหยิบมือถือมาซื้อของออนไลน์ แต่นี่ไม่ใช่แค่กระแสที่ผ่านมาแล้วผ่านไป การเติบโตของ Mobile Commerce (M-Commerce) นั้นสำคัญมาก จนมีบางคนคาดการณ์ว่าสถิติอีคอมเมิร์ซทั่วโลกมูลค่าจะสูงถึง 5.5 แสนล้านดอลลาร์ในปี 2024 ซึ่งคิดเป็น 7.6% ของยอดขายค้าปลีกทั้งหมด
Insider Intelligence ระบุว่า ในปี 2023 ผู้บริโภคทั่วโลกเกือบ 80% ใช้สมาร์ทโฟนเข้าเว็บไซต์ของผู้ค้าปลีกขณะที่กำลังเดินช้อปปิ้งอยู่ในร้านค้าจริง ส่วนอีก 74% ใช้แอปพลิเคชันของร้านค้าขณะช้อปปิ้ง
M-Commerce คือการช้อปปิ้งออนไลน์ผ่านอุปกรณ์มือถืออย่างสมาร์ทโฟนหรือแท็บเล็ต ซึ่งอีคอมเมิร์ซบนมือถือจะยังคงเติบโตอย่างก้าวกระโดดตลอดไม่กี่ปีข้างหน้า ความก้าวหน้าทางเทคโนโลยี เช่น แอปพลิเคชันเฉพาะของแบรนด์ เครือข่าย 5G และการช้อปปิ้งผ่านโซเชียล ทำให้คนซื้อของผ่านมือถือได้ง่ายกว่าเดิมมาก
การค้าปลีกออนไลน์ขยายตัวอย่างต่อเนื่องจากการใช้งานสมาร์ทโฟนและแท็บเล็ตที่เพิ่มขึ้นทั่วโลก สถิติอีคอมเมิร์ซทั่วโลก M-Commerce มีมูลค่าสูงถึง 2.2 ล้านล้านดอลลาร์ ในปี 2023 และกินสัดส่วนถึง 60% ของยอดขายอีคอมเมิร์ซทั่วโลกทั้งหมด ยอดขาย Social Commerce ทั่วโลกถูกกำหนดไว้ว่าจะแตะ 1.2 ล้านล้านดอลลาร์ ภายในปี 2025 โดยมีนักช้อปออนไลน์กลุ่ม Millennials และ Gen Z เป็นหัวหอกสำคัญ
กลุ่ม Gen Z มีส่วนร่วมในการช้อปปิ้งและใช้จ่ายบนโซเชียลมีเดียสูงมาก โดย 68% ค้นหาสินค้าบนโซเชียลมีเดีย และ 22% ซื้อสินค้าสำเร็จ ตามมาติดๆ ด้วยกลุ่ม Millennials ที่ 42% ดูสินค้าผ่านโซเชียล และ 21% ซื้อสินค้าสำเร็จ
เตรียมรับมือกับการเพิ่มขึ้นของแอปพลิเคชันช้อปปิ้งของแบรนด์ แคมเปญการตลาดผ่าน SMS และ Facebook Messenger รวมถึงการเชื่อมต่อกับส่วนเสริมที่ทำงานบนมือถือ เพื่อกระตุ้นการมีส่วนร่วมในร้านค้าจริงและสร้างอิทธิพลต่อการตัดสินใจซื้อได้เลย
3. การผสมผสานช่องทางการตลาดใหม่
ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา มีความก้าวหน้าครั้งสำคัญในหลายด้านของการโฆษณา รวมถึงการเข้าถึงช่องทางการตลาดใหม่ๆ Social Commerce เป็นที่น่าจับตามองมาตลอด 5 ปีที่ผ่านมา ด้วยการเปิดตัวฟีเจอร์ช้อปปิ้งของ Facebook และ Instagram และล่าสุดคือ TikTok Shopping
อย่างไรก็ตาม Live Shopping ซึ่งเป็นส่วนเสริมของ Social Commerce ได้เริ่มได้รับความนิยมมากขึ้น เนื่องจากกลยุทธ์นี้ได้รับความนิยมอย่างพุ่งสูงในประเทศจีน ตลาด Live Commerce ในจีนมีมูลค่า 562 พันล้านดอลลาร์ ในปี 2023 และคาดว่าจะเพิ่มขึ้นเป็น 843 พันล้านดอลลาร์ ในปี 2025 โดยคิดเป็น 19.2% ของยอดขายอีคอมเมิร์ซค้าปลีกในปี 2023
การเติบโตของการใช้จ่ายโฆษณา CTV ในสหรัฐอเมริกาคาดการณ์ว่าจะเพิ่มขึ้นจาก 2.5 หมื่นล้านดอลลาร์ ในปี 2023 เป็นเกือบ 4.4 หมื่นล้านดอลลาร์ ภายในปี 2027 ในขณะที่การใช้จ่ายโฆษณา Linear TV (ทีวีแบบดั้งเดิม) คาดว่าจะลดลงจาก 61 พันล้านดอลลาร์ เหลือ 56 พันล้านดอลลาร์ ในช่วงเวลาเดียวกัน การเปลี่ยนแปลงนี้บ่งชี้ว่าผู้ลงโฆษณามีความชอบในการใช้ CTV มากขึ้น เนื่องจากมีประสิทธิภาพและความสามารถในการเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายได้อย่างแม่นยำยิ่งขึ้น
สิ่งนี้ไม่น่าแปลกใจ เมื่อบริการสตรีมมิงทำลายสถิติใหม่ โดยครองส่วนแบ่งการใช้งานทีวีทั้งหมดสูงถึง 38.7% ในขณะที่ส่วนแบ่งการรับชม Linear TV ลดลงต่ำกว่า 50% เป็นครั้งแรก
บริษัทยักษ์ใหญ่ด้านขนม/ลูกกวาดในกลุ่มสินค้าอุปโภคบริโภค (CPG) ยกความดีความชอบให้กับโฆษณา CTV ว่าทำให้ยอดขายโดยรวมเพิ่มขึ้น 15.4% แคมเปญนี้ใช้กลยุทธ์การกำหนดเป้าหมาย 2 แบบ ได้แก่ แนวทางที่กว้างเพื่อเพิ่มการเข้าถึงสูงสุด และกลยุทธ์ที่เน้นกลุ่มเป้าหมายที่ยกเลิกการสมัครเคเบิลของ VIZIO เพื่อการเติบโตแบบเพิ่มขึ้น
แคมเปญนี้ประสบความสำเร็จในการเจาะกลุ่มผู้ซื้อใหม่ และแสดงให้เห็นถึงศักยภาพในการค้นหาลูกค้าจากคู่แข่งและการเข้าถึงผู้บริโภคที่ไม่เคยรู้จักแบรนด์และหมวดสินค้านี้มาก่อน กรณีศึกษานี้ตอกย้ำถึงความสามารถของ CTV ในการสร้างการรับรู้ในระดับบนสุดของ Funnel และกระตุ้นยอดขายในส่วนล่างของ Funnel
4. ห่วงโซ่อุปทานที่ค่อยๆ เสถียร
ซัพพลายเชนทั่วโลกต้องเผชิญกับการหยุดชะงักอย่างไม่หยุดหย่อน ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมาเกิดเหตุการณ์ที่สร้างความปั่นป่วนมากมาย ตั้งแต่ความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์ เช่น สงครามรัสเซีย-ยูเครน, การโจมตีในทะเลแดง ไปจนถึงผลกระทบที่ต่อเนื่องจากการแพร่ระบาดของโรคระบาด
ยกตัวอย่างเช่น ความขัดแย้งระหว่างรัสเซีย-ยูเครนส่งผลกระทบอย่างลึกซึ้งต่อการไหลเวียนของสินค้าโภคภัณฑ์ที่สำคัญ นำไปสู่ปัญหาการขาดแคลนและแรงกดดันด้านเงินเฟ้อ สงครามได้ขัดขวางอุปทานของผลิตภัณฑ์ทางการเกษตร ปุ๋ย และทรัพยากรพลังงาน อีกทั้งยังนำไปสู่ ค่าขนส่งที่สูงขึ้น การขาดแคลนตู้คอนเทนเนอร์ และความพร้อมใช้งานของพื้นที่คลังสินค้าระหว่างประเทศที่ลดลง
นอกจากนี้ ยังมีเหตุการณ์ที่ทะเลแดง ซึ่งเป็นเส้นทางการค้าที่สำคัญที่ประสบปัญหาจากการโจมตีด้วยขีปนาวุธ การโจมตีเหล่านี้ทำให้บริษัทเดินเรือขนาดใหญ่ต้องเปลี่ยนเส้นทางหรือระงับการดำเนินงาน ส่งผลให้ ระยะเวลาการเดินทางยาวนานขึ้น และต้นทุนการขนส่งเพิ่มสูงขึ้น ซึ่งยิ่งสร้างความตึงเครียดให้กับซัพพลายเชนทั่วโลก
เพื่อตอบสนองต่อความท้าทายของซัพพลายเชนที่ดำเนินอยู่ บริษัทต่างๆ จึงกำลังปรับกลยุทธ์เพื่อเสริมสร้างความยืดหยุ่น เกือบ 8 ใน 10 บริษัท (79%) กำลังขยายฐานซัพพลายเออร์ของตน ขณะที่ 71% กำลังดำเนินการตามกลยุทธ์การแบ่งภูมิภาคและการทำตลาดท้องถิ่น เพื่อบรรเทาความเสี่ยงจากความตึงเครียดทางภูมิรัฐศาสตร์และการหยุดชะงักของการขนส่ง
นอกจากนี้ 83% ขององค์กรกำลังลงทุนใน "Friend-shoring" ซึ่งก็คือการสร้างเครือข่ายอุปทานกับประเทศที่เป็นพันธมิตรทางการเมืองและเศรษฐกิจ การเปลี่ยนแปลงนี้เป็นส่วนหนึ่งของการเคลื่อนไหวที่กว้างขึ้น ไปสู่การกระจายความเสี่ยงและนวัตกรรมในการจัดการซัพพลายเชน โดยมีการลงทุนเพิ่มขึ้นอย่างเห็นได้ชัด เพื่อปรับปรุงการตรวจจับการหยุดชะงักและส่งเสริมนวัตกรรมกระบวนการ
รัฐบาล Biden-Harris ก็ได้เสริมสร้างความยืดหยุ่นของซัพพลายเชน ด้วยการเป็นพันธมิตรกับประเทศพันธมิตรเพื่อกระจายแหล่งที่มาและการลงทุนในขีดความสามารถภายในประเทศ และทำเนียบขาวยังทำงานร่วมกับ National Oceanic and Atmospheric Administration (NOAA) และกำลังติดตามพัฒนาการต่างๆ เช่น ปรากฏการณ์ El Niño สำหรับผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นกับซัพพลายเชนทั่วโลก
5. ยอดขายที่เติบโตในจีนและเอเชียแปซิฟิก
Insider Intelligence และ eMarketer รายงานว่า 5 ประเทศจากเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ติดอันดับต้นๆ ของการเติบโตของอีคอมเมิร์ซที่เร็วที่สุดในปี 2022 ประเทศที่มีส่วนแบ่งตลาดเพิ่มขึ้น ได้แก่
- ฟิลิปปินส์ (24.1%)
- อินเดีย (22.3%)
- อินโดนีเซีย (20%)
- มาเลเซีย (18%)
- ประเทศไทย (16%)
ฟิลิปปินส์และอินเดียคาดว่าจะเป็นอันดับหนึ่งและสองตามลำดับจนถึงปี 2026 ผู้ซื้อดิจิทัลในอินเดียคาดว่าจะใช้จ่ายมากกว่า 2.1 หมื่นล้านดอลลาร์ในอีคอมเมิร์ซในปี 2023 โดยการใช้จ่ายของอินโดนีเซียคาดว่าจะเพิ่มขึ้นมากกว่า 1.6 หมื่นล้านดอลลาร์
6. การสร้างคอนเทนต์สำหรับผู้บริโภคในภาษาท้องถิ่น
57% ของลูกค้าที่ PayPal สำรวจกล่าวว่า ตอนนี้พวกเขาช้อปปิ้งระหว่างประเทศ เกือบ 2 ใน 5 ของผู้ตอบแบบสอบถามกล่าวว่าพวกเขาได้ทำการซื้อระหว่างประเทศในช่วง 3 เดือนที่ผ่านมา
อย่างไรก็ตาม ในกลุ่มผู้ซื้อที่พูดภาษาอังกฤษ ผู้ตอบแบบสอบถามมากกว่า 2 ใน 3 ในการศึกษาจาก Flow.io กล่าวว่า พวกเขาจะไม่ซื้อจากเว็บไซต์ที่ไม่ได้แปลเป็นภาษาอังกฤษ ในตลาดญี่ปุ่นและเกาหลีใต้ ซึ่งการค้าข้ามพรมแดนต่ำที่สุด ตัวเลขนี้เพิ่มขึ้นเป็น 41% และ 36% ตามลำดับ
การใช้ภาษาท้องถิ่นในเว็บไซต์ของคุณ มากกว่าจะใช้ Google Translate สามารถสร้างหรือทำลายยอดขายระดับโลกได้เลย เพราะคุณต้องสร้างประสบการณ์ที่ดีให้กับลูกค้า ตั้งแต่ความประทับใจไปแรกจนถึงการชำระเงิน
ในความเป็นจริง ในแง่ของเนื้อหาเว็บไซต์ ผู้ซื้อส่วนใหญ่ในรายงานของ Flow.io เห็นด้วยว่าหน้าเหล่านี้จำเป็นต้องอยู่ในภาษาของพวกเขา
- คำอธิบายสินค้า (67%)
- รีวิวสินค้า (63%)
- กระบวนการชำระเงิน (63%)
ปรับกลยุทธ์อีคอมเมิร์ซระหว่างประเทศ
การตั้งค่ากลยุทธ์อีคอมเมิร์ซแบบหลายช่องทางในระดับสากลอาจดูน่าหวาดหวั่น แต่มีประเด็นสำคัญบางอย่างที่คุณควรให้ความสำคัญเป็นอันดับแรก ซึ่งจะช่วยให้คุณประสบความสำเร็จได้
ด้านที่ธุรกิจอีคอมเมิร์ซควรให้ความสำคัญคือ
การตั้งราคา
ตามสถิติอีคอมเมิร์ซทั่วโลก เมื่อพูดถึงการกำหนดราคา ผู้ค้าปลีกอีคอมเมิร์ซระหว่างประเทศจะต้องเผชิญกับสองประเด็นหลักคือ การแปลงสกุลเงิน และวิธีการจัดการโปรโมชัน สำหรับประเด็นแรก การศึกษาว่าลูกค้าในประเทศที่คุณตั้งเป้าหมายไว้มีการรับรู้ราคาอย่างไรเป็นสิ่งที่มีประโยชน์ ในประเทศตะวันตก การกำหนดราคาให้ลงท้ายด้วยเลข 9 เป็นเรื่องปกติ ในขณะที่ประเทศอย่างจีน ควรใช้ตัวเลขกลมๆ จะดีที่สุด
ส่วนเรื่องโปรโมชัน ธุรกิจควรใช้ปัจจัยที่หลากหลายขึ้นเพื่อกำหนดความอ่อนไหวต่อราคา (โดยเฉพาะในตลาดต่างประเทศ) นอกเหนือจากนี้ การเชื่อมโยงการกำหนดราคาและโปรโมชันเข้าด้วยกันอย่างมีประสิทธิภาพและสร้างผลกำไร สามารถเพิ่มรายได้และภาพรวมโดยรวมได้ถึงสามถึงห้าเปอร์เซ็นต์
การชำระเงิน
เมื่อพิจารณาว่าวิธีการชำระเงินใดค่อนข้างง่ายสำหรับอีคอมเมิร์ซระหว่างประเทศ คุณจะต้องมีอย่างน้อยที่สุดคือระบบประมวลผลบัตรเดบิต/เครดิต และตัวเลือกกระเป๋าเงินมือถือ เช่น Apple Pay และ Google Pay รวมถึงตัวเลือกซื้อตอนนี้ จ่ายทีหลัง (BNPL)
แพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซและตลาดกลางระดับโลกบางแห่งมีระบบการชำระเงินของตนเอง ตัวอย่างเช่น ด้วย Shopify Payments คุณสามารถตั้งค่าวิธีการชำระเงินหลักทั้งหมดสำหรับร้านค้าอีคอมเมิร์ซของคุณได้โดยอัตโนมัติ
บริการลูกค้า
การบริการลูกค้าเป็นสิ่งสำคัญไม่ว่าคุณจะให้บริการอยู่ที่ส่วนใดของโลกก็ตาม ในประเทศส่วนใหญ่ วิธีการสื่อสารทั่วไปสำหรับการบริการลูกค้า ได้แก่ โทรศัพท์ อีเมล และแชทสด (Live Chat)
การจัดส่งและโลจิสติกส์
การที่ผู้ซื้อของคุณจะได้รับสินค้าอย่างไรเป็นปัจจัยสำคัญที่ต้องพิจารณา เนื่องจากค่าจัดส่งมักจะมีราคาแพง ดังนั้น เพื่อให้การจัดส่งระหว่างประเทศประสบความสำเร็จ ให้คิดถึงการลดความยุ่งยากให้ได้มากที่สุด ซึ่งรวมถึงการค้นคว้าตัวเลือกราคาจากบริษัทขนส่ง การเสนอประมาณการความเร็วในการจัดส่ง การค้นคว้าภาษีที่เกี่ยวข้อง และการป้องกันไม่ให้มีการขายผลิตภัณฑ์บางชนิดในบางประเทศ
สถิติอีคอมเมิร์ซทั่วโลกเผยโอกาสใหม่ ขยายตลาดด้วย Shopify Marketplace
ข้อมูลของเราแสดงให้เห็นว่า 30% ของผู้เข้าชมร้านค้าออนไลน์ของคุณมาจากตลาดต่างประเทศ ในอดีต การเปลี่ยนผู้เข้าชมเหล่านี้ให้เป็นลูกค้าทำได้ยากกว่าการขายให้กับลูกค้าในประเทศ
ด้วย Managed Markets คุณสามารถจัดการการขายในต่างประเทศได้ง่ายขึ้น โดยการลดความซับซ้อนในด้านที่ซับซ้อน เช่น การปฏิบัติตามกฎระเบียบ ภาษีศุลกากร การจัดส่ง และการแปลงสกุลเงิน โดยเฉลี่ยแล้ว ผู้ค้าในอเมริกาเหนือใช้ฟีเจอร์นี้เพื่อขายสินค้าไปยังตลาดใหม่ถึง 14 แห่ง
คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับสถิติอีคอมเมิร์ซทั่วโลก
ตลาดอีคอมเมิร์ซระดับโลกมีขนาดใหญ่แค่ไหน
คาดการณ์ว่าสถิติอีคอมเมิร์ซทั่วโลกจะมีมูลค่ารวม 32 ล้านล้านดอลลาร์ ในปี 2024 และคิดเป็น 23% ของยอดขายค้าปลีกทั้งหมด
เราจะเริ่มธุรกิจอีคอมเมิร์ซระดับโลกได้อย่างไร
- กำหนดตลาดเป้าหมายระหว่างประเทศ และวิธีการที่ตลาดเหล่านั้นจะช่วยสนับสนุนการเติบโตของธุรกิจ
- ทำความเข้าใจความต้องการของตลาดเป้าหมาย เช่น วิธีการชำระเงินที่ต้องการ
- จัดทำแผนสำหรับการเข้าสู่ตลาด
อีคอมเมิร์ซสำคัญต่อธุรกิจระดับโลกหรือไม่
อีคอมเมิร์ซสามารถสนับสนุนและอำนวยความสะดวกในการค้าระหว่างประเทศ ทำให้การทำธุรกิจง่ายขึ้น และช่วยให้ธุรกิจเข้าใจความต้องการของตลาดได้ดียิ่งขึ้น


