เส้นทางการตัดสินใจซื้อของลูกค้าทุกวันนี้ไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป
ก่อนจะตัดสินใจซื้อของสักชิ้น ลูกค้ามักต้องเห็นสินค้าหลายครั้งจากหลายช่องทาง ทั้งจาก Marketplace เว็บรีวิว หรือแม้แต่ไปดูของจริงในร้านค้า เพื่อให้มั่นใจว่าซื้อนี้คุ้มจริง ๆ
เพราะแบบนี้ ร้านค้าที่ขายของได้หลายช่องทางจึงได้เปรียบกว่า สามารถเจอลูกค้าได้ทุกที่ ไม่ว่าจะตอนที่พวกเขากำลังเลื่อนดูสินค้า เทียบราคา หรือพร้อมจะกดสั่งซื้อ ยอดขายจากธุรกิจที่ขายหลายช่องทางในปี 2023 ก็พุ่งสูงกว่า 20 ล้านล้านบาท
ความสำคัญของการขายบนหลายแพลตฟอร์ม
การเปิดขายสินค้าผ่านหลายช่องทางช่วยเพิ่มยอดขายได้อย่างมหาศาล รายงานหนึ่งพบว่า ลูกค้าที่ซื้อสินค้าผ่านหลายช่องทางมียอดใช้จ่ายเฉลี่ยต่อออเดอร์สูงกว่าลูกค้าที่ซื้อผ่านช่องทางเดียวถึง 15%–35% และยังมีมูลค่าการใช้จ่ายตลอดอายุลูกค้าสูงขึ้นถึง 30%
ผู้ค้าปลีกจำนวนมากเริ่มขยายการขายไปยังช่องทางใหม่ ๆ เพื่อเพิ่มโอกาสสร้างรายได้จากหลายทาง เพราะทุกวันนี้ลูกค้ามาจากหลากหลายแพลตฟอร์ม และมีแหล่งกระตุ้นการซื้อที่ต่างกัน โดยเฉพาะโซเชียลมีเดียอย่าง TikTok ที่กลายเป็นตัวผลักดันสำคัญในการตัดสินใจซื้อของผู้บริโภค
พอล เซอร์รา เจ้าของแบรนด์ Suddora กล่าวว่า “เหตุผลที่เราตัดสินใจขายผ่านหลายช่องทาง แทนที่จะพึ่งเว็บไซต์ DTC ของเราเพียงอย่างเดียว ก็เพราะอยากเข้าถึงลูกค้าให้กว้างขึ้น เราเห็นว่ากลุ่มเป้าหมายไม่ได้อยู่แค่แพลตฟอร์มเดียว แต่กระจายอยู่ตามช่องทางต่าง ๆ ที่แต่ละแห่งก็มีพฤติกรรมการเลือกซื้อไม่เหมือนกัน การอยู่บนหลายช่องทาง ไม่ว่าจะเป็นขายส่ง หน้าร้าน หรือโซเชียลคอมเมิร์ซ ช่วยให้เราเข้าถึงลูกค้าหลากหลายกลุ่มได้ง่ายขึ้น โดยไม่ต้องเพิ่มภาระงานมากนัก กลยุทธ์แบบหลายช่องทางนี้ทำให้ฐานลูกค้าของเราขยายขึ้นอย่างมาก และส่งผลให้ยอดขายรวมเติบโตตามไปด้วย”
ความท้าทายของการขายบนหลายแพลตฟอร์ม
การเลือกช่องทางขายที่เหมาะสม
ไม่ใช่ทุกแพลตฟอร์มออนไลน์จะช่วยสร้างรายได้ให้แบรนด์ของคุณได้เสมอไป และการกระจายขายบนหลายช่องทางมากเกินไปก็อาจทำให้ต้นทุนบานปลายโดยไม่จำเป็น ลองคิดดูว่าทำไมต้องเสียเงินเป็นพัน ๆ บาทเพื่อโฆษณาในช่องทางที่ลูกค้าแทบไม่ซื้อของผ่านเลย สิ่งสำคัญคือการใช้ข้อมูลและการวิจัยเพื่อหาว่าช่องทางไหนเหมาะที่สุดสำหรับกลุ่มลูกค้าของคุณ รู้ว่าพวกเขาเป็นใคร สนใจอะไร และใช้กลยุทธ์เข้าถึงพวกเขาผ่านช่องทางที่มีศักยภาพสูงสุด จากนั้นปรับงบประมาณไปลงทุนในช่องทางที่ทำผลงานได้ดี และตัดช่องทางที่ไม่สร้างยอดขายออกไป
ตัวอย่างเช่น ถ้าคุณขายเฟอร์นิเจอร์พรีเมียมแบบ Danish Design Store ซึ่งเป็นร้านค้าบน Shopify การขายผ่านโซเชียลมีเดียอาจไม่ใช่คำตอบที่ดีที่สุด แต่การเชื่อมต่อกับแพลตฟอร์มอย่าง Houzz กลับช่วยให้เข้าถึงกลุ่มลูกค้าที่สนใจการแต่งบ้าน มีรสนิยม และมีกำลังซื้อได้อย่างตรงจุด
หน้าร้านของ Danish Design Store บนเว็บไซต์ Houzz แสดงรีวิวจากลูกค้าและหมวดหมู่สินค้าครบถ้วน
แต่ละช่องทางขายย่อมมีจุดเด่นที่แตกต่างกันออกไป ไม่ว่าลูกค้าของคุณจะเป็นใคร หรือชอบช้อปปิ้งแบบไหน การเลือกช่องทางขายที่เหมาะสมจะช่วยให้คุณวางกลยุทธ์การตลาดแบบหลายช่องทางได้อย่างมีโฟกัสและเข้าใจกลุ่มลูกค้าเป้าหมายได้ชัดเจนยิ่งขึ้น
การจัดการสต๊อกสินค้า
การจัดการสต๊อกสินค้าสำหรับร้านค้าที่ขายของหลายช่องทางถือเป็นหนึ่งในความท้าทายที่ใหญ่ที่สุด เพราะทั้ง “ของขาด” และ “ของล้น” ต่างก็สร้างผลกระทบกับธุรกิจได้พอ ๆ กัน ร้านค้าที่ประสบความสำเร็จคือร้านที่หาจุดสมดุลระหว่างสินค้าที่มีพอดีกับความต้องการของลูกค้า
พอลกล่าวว่า “สิ่งสำคัญคือการรักษาข้อมูลสต๊อกให้แม่นยำและอัปเดตแบบเรียลไทม์ เพื่อหลีกเลี่ยงการขายเกินหรือขายไม่พอ ซึ่งอาจทำให้ลูกค้าไม่พอใจได้ อีกทั้งการอัปเดตข้อมูลสินค้าและราคาล่าสุดให้ตรงกันทุกช่องทางก็เป็นงานที่ค่อนข้างท้าทาย”
แบรนด์รองเท้า Wilding ก็เคยเจอปัญหาคล้ายกัน เมื่อเปิดโชว์รูมจริงเพื่อมอบประสบการณ์การช้อปที่เหมือนกับบนออนไลน์ พวกเขาใช้ Shopify POS เชื่อมระบบหน้าร้านกับร้านค้าออนไลน์ ทำให้สามารถติดตามลูกค้า สต๊อก และคำสั่งซื้อทั้งหมดได้ในที่เดียว ส่งผลให้ความพร้อมของสินค้าคงเหลือเพิ่มขึ้นกว่า 5%
นอกจากจะช่วยเชื่อมแพลตฟอร์มหลายช่องทางไว้ในแดชบอร์ดเดียวแล้ว Shopify ยังช่วยทำงานอัตโนมัติให้ระบบขายของทุกช่องทางเชื่อมต่อกันอย่างราบรื่น เช่น เมื่อสินค้าคงเหลือน้อย ระบบ Shopify Flow สามารถตั้งค่าให้แจ้งเตือนทีมผ่าน Slack ให้ปิดการขายสินค้านั้นชั่วคราว หรือแจ้งทีมมาร์เก็ตติ้งให้หยุดโปรโมตสินค้าชิ้นนั้นจนกว่าจะมีของเข้าใหม่ได้ทันที ด้วยวิธีนี้ ลูกค้าจะได้รับประสบการณ์ช้อปปิ้งที่ราบรื่นและสอดคล้องกันทุกช่องทาง ไม่ว่าจะซื้อจากที่ใดก็ตาม
แผนผังแสดงขั้นตอนการทำงาน (Flowchart) ที่ทีมอีคอมเมิร์ซได้รับการแจ้งเตือนผ่าน Slack เมื่อมีการเปลี่ยนแปลงจำนวนสต๊อกสินค้าในแดชบอร์ดของ Shopify
โลจิสติกส์และการจัดการออเดอร์
อุตสาหกรรมซัพพลายเชนยังคงมีความผันผวนสูง และยังไม่มีสัญญาณว่าจะกลับมามีเสถียรภาพในเร็ว ๆ นี้
ความท้าทายด้านโลจิสติกส์สามารถกลายเป็นฝันร้ายของแบรนด์ได้ทันที เมื่อออเดอร์เริ่มหลั่งไหลมาจากหลายแพลตฟอร์ม ทั้งออนไลน์และออฟไลน์ รวมถึงจากช่องทางที่แบรนด์เป็นเจ้าของและไม่ได้เป็นเจ้าของ ลูกค้าในแต่ละช่องทางมีตัวเลือกการจัดส่งที่แตกต่างกัน ทีมจัดการออเดอร์ก็ต้องพิมพ์ใบแพ็กของจากเครื่องมือหลายระบบ ส่วนการติดตามพัสดุก็ซับซ้อนเพราะแต่ละแพลตฟอร์มใช้ผู้ให้บริการขนส่งไม่เหมือนกัน
ไคล์ วัตส์ (Kyle Watts) ผู้ร่วมก่อตั้งและซีอีโอของ Tally แบรนด์เครื่องดื่ม เล่าว่า ธุรกิจของเขาขายสินค้าทั้งแบบ DTC (direct-to-consumer) และผ่านช่องทางอื่น ๆ เนื่องจากสินค้าประเภทอาหารต้องอาศัย “รสชาติ” เป็นตัวขับเคลื่อนสำคัญในการให้ลูกค้าตัดสินใจทดลองซื้อ
“การขายแบบ DTC มีต้นทุนสูงเมื่อจัดส่งเป็นรายชิ้น ดังนั้นช่องทางซูเปอร์มาร์เก็ตจึงยังเป็นวิธีที่คุ้มค่าที่สุดในการให้ลูกค้าใหม่ได้ทดลองสินค้า” ไคล์กล่าว “ความท้าทายใหญ่ของเราคือการหาคลังสินค้าที่สามารถจัดการออเดอร์จากหลายช่องทางได้ดีและคุ้มค่า เพราะผู้ให้บริการบางรายมักเชี่ยวชาญเฉพาะการจัดส่งแบบ DTC ที่ต้องดูแลละเอียดและมีต้นทุนสูง แต่กลับไม่รองรับการจัดส่งแบบพาเลตจำนวนมากให้ร้านค้าปลีก ซึ่งควรเป็นงานที่ต้นทุนต่ำแต่ปริมาณสูง”
ทางออกของปัญหานี้คือการเลือกใช้แพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซหลายช่องทางที่สามารถเชื่อมต่อกับผู้ให้บริการโลจิสติกส์ภายนอก (3PL) เพื่อให้การจัดส่งและจัดการออเดอร์จากทุกช่องทางเป็นระบบเดียวกัน เช่น หากขายสินค้าผ่าน Amazon คุณสามารถใช้ Linnworks ที่เชื่อมต่อกับ Amazon Shipping และ DHL เพื่อให้ DHL จัดส่งออเดอร์จากร้านค้าออนไลน์ได้โดยตรง
หากคุณขายสินค้าผ่านช่องทางออฟไลน์ เช่น การออกบูธหรือเปิดหน้าร้านถาวร สามารถดูตัวอย่างจากแบรนด์ Allbirds ที่เลือกใช้แพลตฟอร์มหลายช่องทางซึ่งเชื่อมต่อกับแดชบอร์ดอีคอมเมิร์ซได้โดยตรง
Allbirds ใช้ Shopify POS เพื่อสร้างกลยุทธ์ Endless Aisle หรือชั้นวางสินค้าที่ไม่มีที่สิ้นสุด ซึ่งช่วยให้พนักงานหน้าร้านสามารถสั่งสินค้า รับชำระเงิน และให้ทีมโลจิสติกส์จัดส่งสินค้าตรงถึงบ้านลูกค้าได้ทันที
ทราวิส บอยซ์ หัวหน้าฝ่ายปฏิบัติการร้านค้าทั่วโลกของ Allbirds กล่าวว่า “โปรแกรมช่วยขายของหลายช่องทางของ Shopify เราสามารถรวมระบบหน้าร้าน (POS) และอีคอมเมิร์ซให้อยู่ภายใต้ระบบเดียวกัน ซึ่งตอบโจทย์เป้าหมายสูงสุดของเราในฐานะแบรนด์ omnichannel ที่มองว่าลูกค้าคือคนเดียวกัน ไม่ว่าจะช้อปกับเราผ่านช่องทางใดก็ตาม”
หาพาร์ตเนอร์ 3PL ที่ใช่ เพื่อขยายธุรกิจของคุณ
ความแตกต่างของราคาตามช่องทางขาย
การขายสินค้าผ่านหลายแพลตฟอร์มมีข้อดีตรงที่สามารถเข้าถึงลูกค้าที่มีพฤติกรรมการซื้อแตกต่างกัน บางคนอาจชอบซื้อผ่านช่องทางใดช่องทางหนึ่งเท่านั้น และราคาก็เป็นหนึ่งในปัจจัยสำคัญที่ส่งผลต่อการตัดสินใจซื้อของพวกเขาเช่นกัน การใช้โปรแกรมช่วยขายของหลายช่องทางจะช่วยให้ร้านค้าควบคุมราคาและโปรโมชั่นในแต่ละช่องทางได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ตัวอย่างเช่น การขายแบบ B2B เทียบกับ DTC ลูกค้าขายส่งมักมีความคาดหวังเรื่องราคาที่ต่างจากลูกค้าทั่วไป โดยลูกค้า B2B มักคาดหวังส่วนลดสูงสุดถึง 50% จากราคาขายปลีกแนะนำ (MSRP) และยังสามารถชำระเงินล่าช้ากว่าลูกค้า DTC ได้ราว 30–90 วัน ซึ่งระบบใน โปรแกรมช่วยขายของหลายช่องทาง สามารถตั้งเงื่อนไขราคาและรอบการชำระเงินแยกตามกลุ่มลูกค้าได้อัตโนมัติ
แบรนด์ Glide Outdoors ก็เคยเจอความท้าทายในการควบคุมความแตกต่างของราคาเมื่อขายผ่านหลายช่องทาง
เคน ดริสคอลล์ หุ้นส่วนผู้บริหารของบริษัทกล่าวว่า “ความท้าทายที่สำคัญที่สุดของเราคือการรักษาสมดุลระหว่างการขายตรงให้ลูกค้า (DTC) และการรักษาความสัมพันธ์อันดีกับดีลเลอร์ที่เป็นคู่ค้าของเรา ซึ่งแน่นอนว่าดีลเลอร์อาจรู้สึกกังวลเมื่อเราเริ่มขายตรงกับลูกค้าที่พวกเขาเคยเข้าถึงได้เอง”
เพื่อแก้ปัญหานี้ เคนอธิบายว่า “เรามั่นใจว่าดีลเลอร์ของเราจะได้รับมาร์จิ้นที่แข่งขันได้มากพอ ทำให้พวกเขายังทำกำไรได้ดีและสามารถแข่งขันกับร้านค้าออนไลน์ขนาดใหญ่ได้ เรานำเสนอสินค้าที่คุณภาพสูงกว่าในราคาขายปลีกแนะนำ (MSRP) ที่เหมาะสม ซึ่งช่วยให้เราจัดการความซับซ้อนของการขายหลายช่องทางได้ โดยยังคงรักษาค่านิยมหลักของแบรนด์ไว้”
แม้ว่าการขายแบบ B2B อาจไม่ใช่ช่องทางที่ทุกแบรนด์เลือกใช้ แต่ลูกค้าทั่วไปก็มักคาดหวังราคาที่แตกต่างกันในแต่ละแพลตฟอร์มเช่นกัน เช่น ผู้ใช้ Instagram มียอดใช้จ่ายเฉลี่ยราว 69 ดอลลาร์ต่อการซื้อหนึ่งครั้ง ในขณะที่ผู้ใช้ Pinterest มียอดใช้จ่ายเฉลี่ยสูงกว่าเท่าตัวคือประมาณ 154 ดอลลาร์ต่อออเดอร์ การใช้ โปรแกรมช่วยขายของหลายช่องทาง ช่วยให้ร้านค้ากำหนดราคาที่เหมาะกับพฤติกรรมลูกค้าแต่ละกลุ่ม และติดตามประสิทธิภาพของแต่ละช่องทางได้แบบเรียลไทม์
นอกจากนี้การขายบนแพลตฟอร์มที่ไม่ใช่ของตัวเองยังมักมีค่าธรรมเนียมเพิ่มเติม เช่น ค่าธรรมเนียมการทำธุรกรรมที่แพลตฟอร์มจะหักจากยอดขาย ซึ่งอาจทำให้ช่องทางนั้นทำกำไรน้อยลง เว้นแต่คุณจะปรับราคาขายให้ครอบคลุมต้นทุนเหล่านี้ โดยสามารถตั้งค่าอัตโนมัติผ่านโปรแกรมช่วยขายของหลายช่องทาง เพื่อให้ราคาบนแต่ละแพลตฟอร์มสอดคล้องกับต้นทุนจริง
คุณสามารถใช้เครื่องมืออย่าง Launchpad เพื่อวางแผนและตั้งค่าการขายล่วงหน้าได้ง่าย ๆ ทั้งการกำหนดหน้าร้านสำหรับแต่ละช่องทาง ติดตามผลแบบเรียลไทม์ และตั้งค่าอัตโนมัติสำหรับกิจกรรมการขายเฉพาะทาง
เช่น หากคุณกำลังจะจัด Flash Sale คุณสามารถใช้ Launchpad ร่วมกับโปรแกรมช่วยขายของหลายช่องทาง เพื่อกำหนดรายละเอียดโปรโมชั่น เลือกช่วงเวลาเปิดขาย และเลือกได้ว่าต้องการให้โปรโมชั่นแสดงในช่องทางใดบ้าง พร้อมทั้งเลือกธีมการแสดงผล ตั้งค่าราคาหรือส่วนลดสำหรับลูกค้า และระบุเวลาสิ้นสุดการขายได้อย่างอิสระในระบบเดียว
แดชบอร์ด Shopify ที่แสดงตัวอย่างการขายสุดสัปดาห์ที่มีการลดราคาเผยแพร่โดยอัตโนมัติในเวลา 17.00 น. ของวันศุกร์
หน้าแดชบอร์ดของ Shopify แสดงตัวอย่างโปรโมชั่นสุดสัปดาห์ (Weekend Sale) ที่ระบบตั้งเวลาให้เผยแพร่ส่วนลดอัตโนมัติในวันศุกร์ เวลา 17.00 น.
ใช้ Launchpad เพื่อทำให้การจัดโปรโมชันและกิจกรรมลดราคาทำงานอัตโนมัติ
ความสม่ำเสมอของข้อมูลสินค้า
ลูกค้ามาจากหลากหลายช่องทาง ได้รับอิทธิพลจากหลายแหล่ง และทุกคนต่างคาดหวังประสบการณ์ช้อปปิ้งที่เหมือนกันในทุกแพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซของคุณ ดังนั้น “ความสม่ำเสมอ” จึงเป็นสิ่งสำคัญที่สุด
เมื่อข้อมูลสินค้าด้านหลังบ้านมีความเป็นหนึ่งเดียว ลูกค้าจะไม่รู้สึกถึงความไม่ต่อเนื่องเวลาเลือกซื้อสินค้าผ่านช่องทางต่าง ๆ โปรแกรมช่วยขายของหลายช่องทางจะช่วยให้ร้านค้าสามารถมอบประสบการณ์การช้อปที่เรียบง่ายและสอดคล้องกันในทุกแพลตฟอร์มได้
เอ็ดดี้ เดวา หุ้นส่วนจากแบรนด์ Diamond Rose Box กล่าวว่า “หนึ่งในความท้าทายที่ใหญ่ที่สุดของเราคือการรักษาความสม่ำเสมอระหว่างช่องทางขายต่าง ๆ การทำให้แบรนด์ การสื่อสาร และประสบการณ์ลูกค้าเป็นหนึ่งเดียวกันในทุกแพลตฟอร์มเป็นสิ่งจำเป็น ซึ่งต้องอาศัยการจัดการและประสานงานอย่างรอบคอบ รวมถึงระบบที่เชื่อมโยงกันเพื่อช่วยติดตามสต๊อกสินค้าซับซ้อนของเราได้อย่างแม่นยำ”
เครื่องมือประเภท Product Information Management (PIM) ถูกพัฒนาขึ้นเพื่อช่วยทีมการตลาดจัดการข้อมูลสินค้าให้เป็นระบบ โดยเก็บรายละเอียดสำคัญของแต่ละสินค้าไว้ในที่เดียว เพื่อให้ข้อมูลตรงกันทุกช่องทางขาย เช่น
- SKU
- รายละเอียดสินค้า
- สเปกสินค้า
- รูปภาพ
- ราคา
- ข้อมูลการจัดส่ง
- ตัวเลือกการคืนสินค้า
ซอฟต์แวร์ Cross-listing ยังช่วยให้ร้านค้าสามารถสร้างรายการขายสินค้าชิ้นเดียวกันบนหลายช่องทางได้พร้อมกัน
ตัวอย่างเช่น แบรนด์อีคอมเมิร์ซที่ขายสินค้าทั้งบน Marketplace และร้านค้าออนไลน์ของตัวเอง สามารถคัดลอกข้อมูลสินค้าอย่างชื่อ รายละเอียด ราคา และรูปภาพไปแสดงในทุกแพลตฟอร์มได้อัตโนมัติ ลูกค้าจะได้รับประสบการณ์การช้อปปิ้งที่เหมือนกัน ไม่ว่าจะซื้อสินค้าผ่าน Amazon, Etsy หรือเว็บไซต์ของแบรนด์โดยตรง
วิธีติดตามผลการขายแยกตามช่องทาง
เกือบทุกธุรกิจอีคอมเมิร์ซที่ขายของหลายช่องทางต้องเผชิญกับคำถามเดียวกันว่า เมื่อพยายามพิสูจน์ผลตอบแทนจากการลงทุน (ROI) จะรู้ได้อย่างไรว่ายอดขายที่เกิดขึ้นมาจากโซเชียลมีเดียหรือคอนเทนต์มาร์เก็ตติ้งโดยตรง?
การขายสินค้าผ่านหลายช่องทางย่อมมาพร้อมความซับซ้อนทางโลจิสติกส์ ดังนั้นสิ่งสำคัญคือต้องรวมระบบภายในทั้งหมดให้เป็นศูนย์กลางเดียวกัน เพื่อให้คุณสามารถติดตามข้อมูลการขาย การตลาด และการจัดจำหน่ายได้อย่างครบภาพ ไม่ต้องสลับดูข้อมูลจากหลายระบบ ไม่ต้องอัปเดตข้อมูลลูกค้าเอง และไม่ต้องเจอปัญหาสต๊อกคลาดเคลื่อนเมื่อมีการซื้อขายข้ามช่องทาง
ควรเลือกใช้โปรแกรมช่วยขายของหลายช่องทาง ที่มีระบบวิเคราะห์ข้อมูลแบบครบวงจร เช่น มูลค่าลูกค้าตลอดอายุการใช้งาน, ต้นทุนเฉลี่ยต่อการแปลงลูกค้า, อัตราการรักษาลูกค้าและตัวชี้วัดอื่น ๆ ที่ทีมมาร์เก็ตติ้งและฝ่ายขายใช้วัดผล ทั้งหมดสามารถดูได้ในหน้าเดียว
ตัวอย่างเช่นใน Google Analytics ผู้ใช้สามารถดูได้ว่าช่องทางขายใดทำผลงานดี หรือช่องทางใดที่ยังต้องปรับปรุงในด้านการเปลี่ยนผู้ชมให้เป็นลูกค้าผ่านฟีเจอร์ Assisted Conversions คุณสามารถสร้างรายงานเพื่อวัดบทบาทและสัดส่วนการมีส่วนร่วมของแต่ละช่องทาง ว่าช่องทางไหนเป็นตัวช่วยสนับสนุนการขาย และช่องทางใดที่สามารถปิดการขายได้โดยตรง
อีกทางหนึ่งคือใช้ การวิเคราะห์การให้เครดิตตามช่องทาง เช่น โมเดลแบบ Time-Delay Attribution เพื่อหาคุณค่าที่แท้จริงของแต่ละช่องทางในแง่ของ Conversion และ ROI จากนั้นสามารถแสดงผลในรูปแบบกราฟหรือแดชบอร์ดเพื่อดูภาพรวมของประสิทธิภาพทุกช่องทางอย่างชัดเจน
ผู้ใช้ Shopify ยังสามารถดูรายงานยอดขายแยกตามช่องทางได้โดยตรงในแดชบอร์ด หรือผ่านแอปเสริมอย่าง Attribution Connector ซึ่งช่วยให้เปรียบเทียบประสิทธิภาพแต่ละช่องทางได้แบบเรียลไทม์ จัดเรียงข้อมูลทราฟฟิกตามแหล่งที่มา และแบ่งย่อยตามชื่อ Referrer เพื่อให้เห็นภาพที่แม่นยำและอัปเดตล่าสุดของออเดอร์และยอดขายจากทุกช่องทางอย่างครบถ้วน
ภาพหน้าจอจาก Attribution Connector แสดงตัวอย่างเส้นทางการเข้าชมของลูกค้า ตั้งแต่เข้าเว็บไซต์ของแบรนด์ ดูวิดีโอบน YouTube มีส่วนร่วมบน LinkedIn และโต้ตอบกับโพสต์บน Facebook
อเล็กซ์ เมียร์เซียน ผู้จัดการฝ่ายการตลาดของ Eightvape กล่าวว่า “เราตัดสินใจเลือกใช้ Shopify เพราะเป็นแพลตฟอร์มแบบครบวงจรที่มีความสามารถด้านการวิเคราะห์ข้อมูลดีที่สุด การเป็นผู้จัดการหมายความว่าคุณต้องวิเคราะห์ตัวเลขจำนวนมากเพื่อหาข้อมูลที่ต้องการ และ Shopify ก็มีข้อมูลเหล่านี้เตรียมไว้ในรายงานและส่วนวิเคราะห์อยู่แล้ว หรือหากต้องการข้อมูลดิบเพิ่มเติม ก็สามารถดึงออกมาเพื่อนำไปวิเคราะห์ต่อเองได้เช่นกัน”
รวมลิสต์โปรแกรมช่วยขายของหลายช่องทางที่ดีที่สุด
โปรแกรมช่วยขายของหลายช่องทางคืออะไร?
โปรแกรมช่วยขายของหลายช่องทาง คือระบบศูนย์กลางที่ใช้จัดการการขาย การลงสินค้า และการบริหารช่องทางออนไลน์หลายแห่งให้ทำงานสอดคล้องกัน ทั้งด้านประสบการณ์ของลูกค้าและข้อมูลภายใน เช่น ข้อมูลสต๊อก การจัดส่ง การวิเคราะห์ข้อมูล และการทำการตลาด ช่วยให้ธุรกิจสามารถควบคุมทุกช่องทางการขายได้จากแดชบอร์ดเดียว
การรวมศูนย์ข้อมูลถือเป็นสิ่งสำคัญในโลกของ Multichannel Commerce ที่เน้นประสบการณ์ลูกค้าเป็นหลัก เพราะคุณย่อมอยากให้ลูกค้าทุกคนได้รับประสบการณ์การช้อปปิ้งที่ดีเหมือนกันทุกครั้ง ไม่ว่าจะซื้อผ่านช่องทางใดก็ตาม
อย่างไรก็ตาม สำหรับผู้ค้าปลีก การบริหารทุกอย่างด้วยตนเองอาจเป็นเรื่องยุ่งยาก ต้องสลับแอปไปมา ต้องนำเข้าหรือส่งออกข้อมูล Excel และต้องรวมตัวเลขจากหลายแหล่งเพื่อใช้วิเคราะห์ด้านการตลาด ยอดขาย และการจัดส่งให้แม่นยำพอจะตัดสินใจได้
โปรแกรมช่วยขายของหลายช่องทางถูกสร้างขึ้นเพื่อแก้ปัญหาเหล่านี้โดยตรง ด้วยความสามารถที่ช่วยให้ธุรกิจ
- ควบคุมสต๊อกสินค้าได้อย่างมีประสิทธิภาพ
- ใช้เทมเพลตจัดเรียงสินค้าให้สวยงามและสม่ำเสมอ
- ลงสินค้าและอัปเดตรายการขายได้รวดเร็วและถูกต้อง
- จัดการออเดอร์และการจัดส่งให้ง่ายขึ้น
- วัดประสิทธิภาพของแต่ละช่องทางได้อย่างแม่นยำ
พูดง่าย ๆ คือโปรแกรมช่วยขายของหลายช่องทาง จะช่วยให้คุณจัดการทุกความซับซ้อนของการขายในหลายแพลตฟอร์มได้อย่างราบรื่น ทั้งประหยัดเวลา ลดข้อผิดพลาด และเพิ่มโอกาสในการเติบโตของธุรกิจ
10 โปรแกรมช่วยขายของหลายช่องทางที่ควรรู้จัก
- Shopify
- Sellbrite
- SellerChamp
- Goflow
- Linnworks
- AfterShip Returns
- Jasper PIM
- Gorgias
- Veeqo Shipping
- Polar Analytics
โปรแกรมช่วยขายของหลายช่องทางไม่ได้เป็นเพียงเครื่องมือเสริมหรือแพลตฟอร์มแยกต่างหากเท่านั้น แต่มันคือรากฐานสำคัญที่ช่วยขับเคลื่อนการเติบโตของธุรกิจอีคอมเมิร์ซในระยะยาว
อย่างไรก็ตาม การเลือกโปรแกรมช่วยขายของหลายช่องทางที่เหมาะสมก็อาจเป็นเรื่องท้าทาย เพราะหลายธุรกิจมักมีคำถาม เช่น ฉันควรใช้ซอฟต์แวร์แบบไหนถึงจะตอบโจทย์? ฟีเจอร์ไหนสำคัญที่สุด? จะซิงก์คำสั่งซื้อและสต๊อกสินค้าให้ตรงกันได้อย่างไร? แล้วจะจัดการระบบ Fulfillment ข้ามช่องทางยังไงให้ไม่ซ้ำซ้อน? หรือกลยุทธ์ Multichannel จะกระทบยอดขายบนเว็บไซต์หลักของเราหรือเปล่า?
มาดูรายละเอียดของ 10 โปรแกรมช่วยขายของหลายช่องทางยอดนิยม พร้อมข้อดีที่แต่ละแพลตฟอร์มสามารถช่วยให้ธุรกิจของคุณเติบโตได้อย่างมีประสิทธิภาพ
1. Shopify
Shopify มีช่องทางการขายมากกว่า 20 ช่องทางอยู่ภายใต้ระบบอีคอมเมิร์ซเดียวที่จัดการได้ง่าย ผ่านแดชบอร์ดแบบครบวงจรที่ให้ภาพรวมทั้งหมดของกิจกรรมการขายจากทุกช่องทาง เช่น
- Online store: เว็บไซต์ร้านค้าออนไลน์คือศูนย์กลางของกลยุทธ์ทั้งหมด เว็บไซต์ที่รองรับทั้งเดสก์ท็อปและมือถือจะเป็น “หน้าร้านหลัก” ที่ขายสินค้าได้ง่ายและเข้าถึงลูกค้าได้ทุกอุปกรณ์
- Shop Channel: เข้าถึงผู้ซื้อกว่า 100 ล้านคนที่ใช้แอป Shop เพื่อค้นหาแบรนด์ใหม่ ๆ และติดตามสถานะการสั่งซื้อได้ในที่เดียว
- Shopify B2B: ขายตรงให้ลูกค้ารายใหญ่ได้โดยตรง พร้อมเครื่องมือครบในการปรับราคาเป็นขั้น ๆ (tiered pricing) มอบส่วนลดพิเศษ สร้างหน้าร้านแบบใช้รหัสผ่านเฉพาะลูกค้าที่มีดีลล่วงหน้า และตั้งโปรแกรมสะสมแต้มและรางวัลให้ลูกค้าขายส่งได้ง่าย
- Facebook Shop: เปิดให้ลูกค้าซื้อสินค้าทันทีผ่านเพจร้านค้าหรือ Messenger โดยไม่ต้องออกจาก Facebook
- Pinterest Buyable Pins: เพิ่มลิงก์ซื้อสินค้าให้กับ Pin ที่เชื่อมกับสินค้าจากร้าน Shopify และใช้ Pinterest Tag เพื่อติดตามพฤติกรรมของลูกค้าได้ด้วย
- Shopping on Instagram: เปลี่ยนโพสต์ใน Instagram ให้เป็นโพสต์ขายสินค้าได้ทันที ลูกค้าสามารถกดซื้อโดยไม่ต้องออกจากแอป
- TikTok Shop: ซิงก์แคตตาล็อกสินค้า รันโฆษณา และดึงผู้ชมจาก TikTok เข้าสู่ร้านค้าออนไลน์ผ่านแอป TikTok for Shopify ได้โดยตรง
- YouTube: จัดไลฟ์สดผ่านช่อง YouTube ของคุณและแนบลิงก์สินค้าในร้าน Shopify เพื่อให้ผู้ชมคลิกซื้อได้ทันที
- Shopify POS: พาร้านค้าของคุณออกไปขายที่ไหนก็ได้ พร้อมมอบประสบการณ์ช้อปปิ้งแบบครบวงจรในโลกจริง ทดลองขายสินค้าหรือเปิดตลาดใหม่ ๆ โดยยังสามารถติดตามสต๊อก ประวัติคำสั่งซื้อ และข้อมูลลูกค้าได้ในระบบเดียว
นอกจากนี้ Shopify ยังมีการเชื่อมต่อโดยตรงกับเว็บไซต์และแพลตฟอร์มยอดนิยมระดับโลก เช่น Google, Amazon, eBay, Wish, Spotify, Houzz, Lyst, Linktree, Ebates และอีกมากมาย ทำให้การขายผ่านหลายช่องทางเป็นเรื่องง่ายในแพลตฟอร์มเดียวของ Shopify
ภาพหน้าจอแสดงแอปช่องทางขายของ Shopify รวมถึง TikTok, Google, Amazon และ Etsy ช่องทางการขายที่ร้านค้าบน Shopify สามารถใช้งานได้0
พอล เซอร์รา (Paul Serra) จากแบรนด์ Suddora กล่าวว่า “เราเลือกใช้ Shopify เป็นแพลตฟอร์มสำหรับขายของหลายช่องทาง เพราะจุดเด่นด้านความยืดหยุ่นและความสามารถในการเชื่อมต่อระบบ Shopify มีฟีเจอร์ multichannel ที่แข็งแกร่ง ทำให้เราสามารถบริหารจัดการเว็บไซต์ DTC การขายส่ง หน้าร้าน และช่องทางโซเชียลคอมเมิร์ซได้อย่างราบรื่นในที่เดียว”
การที่เข้าถึงทุกช่องทางได้ถือเป็นข้อดี แต่สิ่งที่สำคัญกว่านั้นคือกลยุทธ์อีคอมเมิร์ซของคุณเอง หากสามารถระบุและโฟกัสไปยังช่องทางที่ตอบโจทย์ลูกค้าของคุณได้ดีที่สุด ก็จะช่วยให้การขายมีประสิทธิภาพสูงสุด
Shopify ยังช่วยให้งานด้านรายงานข้อมูลเป็นเรื่องง่าย ด้วยตัวกรองสำเร็จรูปที่แยกหมวดอย่าง “social selling” เพื่อให้คุณบริหารสต๊อกสินค้า วางแผนการตลาด และตัดสินใจเชิงกลยุทธ์ได้ดียิ่งขึ้น พร้อมสร้างประสบการณ์การซื้อที่ราบรื่นให้ลูกค้าเหมือนกับการขายผ่านช่องทางเดียว
👉 ดูเพิ่มเติมว่า Animals Matter เพิ่มยอดขาย 45% ต่อปีด้วยการใช้กลยุทธ์ขายแบบ Omnichannel ได้ยังไง?
2. Sellbrite
แอป Sellbrite Shopify ช่วยให้ร้านค้าสามารถลงขายสินค้าในตลาดออนไลน์ขนาดใหญ่ระดับโลกได้อย่างง่ายดาย โดยที่แดชบอร์ด Shopify ยังคงเป็นศูนย์กลางหลักของกลยุทธ์การขายแบบหลายช่องทางทั้งหมด
ด้วยโปรแกรมช่วยขายของหลายช่องทาง Sellbrite Shopify สิ่งที่ร้านค้าสามารถทำได้ง่ายในที่เดียว
- จัดการและดำเนินการออเดอร์จาก Marketplace ต่าง ๆ ได้ในระบบหลังบ้านเดียวกับร้านค้า DTC
- ใช้ซอฟต์แวร์ โปรแกรมช่วยขายของหลายช่องทาง เพื่อขายสินค้าบนแพลตฟอร์มชั้นนำอย่าง eBay, Amazon และ Etsy
- ตั้งกฎการกำหนดราคาที่แตกต่างกันสำหรับแต่ละช่องทางขาย เพื่อควบคุมมาร์จิ้นและกลยุทธ์ราคาได้อย่างยืดหยุ่น
ภาพหน้าจอจาก Sellbrite แสดงยอดขายรวมและจำนวนออเดอร์จากหลายแพลตฟอร์ม
3. SellerChamp
SellerChamp คือโปรแกรมช่วยขายของหลายช่องทางที่ช่วยให้ร้านค้าออนไลน์สามารถซิงก์ข้อมูลสินค้า สต๊อก และคำสั่งจัดส่งระหว่างหลายแพลตฟอร์มได้ในที่เดียว อีกทั้งยังเชื่อมต่อโดยตรงกับ Shopify ทำให้สามารถลงขายสินค้าซ้ำ (cross-listing) บน Marketplace อย่าง eBay, Etsy, Walmart และ Amazon ได้อย่างสะดวก
ฟีเจอร์หลักของ SellerChamp ได้แก่
- การลงสินค้าจำนวนมาก: เพียงสแกนรหัสสินค้าก็สามารถสร้างรายการขายบน Marketplace ต่าง ๆ ได้ทันที ไม่ต้องคัดลอกและวางข้อมูลเองให้เสียเวลา
- การซิงก์สต๊อกสินค้า: ซิงก์ข้อมูลสต๊อกจาก Shopify กับ SellerChamp เพื่อป้องกันการขายเกินสต๊อก
- การจัดส่งและจัดการออเดอร์แบบหลายช่องทาง: เชื่อมต่อพาร์ตเนอร์ด้าน Fulfillment อย่าง Amazon FBA หรือ Deliverr ผ่านแดชบอร์ดของ SellerChamp พร้อมระบบเวิร์กโฟลว์และเอกสารแพ็กสินค้าที่ปรับแต่งได้ เพื่อเพิ่มความแม่นยำและลดความผิดพลาด
4. Goflow
Goflow เป็นซอฟต์แวร์ที่เชื่อมต่อกับ Shopify และช่องทางขายหลัก ๆ อย่าง Amazon, Costco, Macy’s, Target และ Walmart เพื่อรวมคำสั่งซื้อจากทุกแพลตฟอร์มไว้ในระบบเดียว พร้อมบริการเสริมเพื่อสนับสนุนการขายแบบหลายช่องทางอย่างครบวงจร
สิ่งที่ Goflow มีให้ ได้แก่
- การขนส่งและโลจิสติกส์: สร้างและพิมพ์ฉลากจัดส่งในระบบ Goflow ได้ทันที พร้อมบันทึกน้ำหนักและขนาดกล่องแบบอัตโนมัติ เพื่อเร่งกระบวนการจัดส่งสินค้า
- การจัดการสต๊อกสินค้า: จัดการคลังสินค้าทั่วโลก ทั้งที่เป็นของคุณเองหรือคลังสินค้าของ 3PL ได้ในแดชบอร์ดเดียว
- การลงขายสินค้าข้ามแพลตฟอร์ม: ลงขายสินค้าใน Marketplace หลายแห่งที่เชื่อมกับ Goflow ได้ภายในไม่กี่คลิก ช่วยเพิ่มความแม่นยำและประหยัดเวลาการทำงานของทีมอีคอมเมิร์ซได้อย่างมาก
5. Linnworks
Linnworks ช่วยให้ร้านค้าที่กำลังเติบโตสามารถบริหารช่องทางขายหลายแห่งได้อย่างมีประสิทธิภาพ แอป Linnworks Shopify เชื่อมต่อกับร้านค้าออนไลน์เพื่อให้เห็นภาพรวมว่าช่องทางใดสร้างผลลัพธ์ทางธุรกิจได้ดีที่สุด
ฟีเจอร์เด่นของ Linnworks ได้แก่
- การจัดการสต๊อกสินค้าหลายช่องทาง: ดึงข้อมูลสต๊อกจากแดชบอร์ด Shopify เพื่อป้องกันการขายเกินสต๊อก พร้อมฟังก์ชันคาดการณ์สินค้าคงคลัง (stock forecasting) ที่ช่วยวางแผนงบการซื้อสินค้าได้แม่นยำ
- การตั้งกฎการจัดส่งแบบกำหนดเอง: ใช้ระบบอัตโนมัติเพื่อเลือกผู้ให้บริการขนส่งหรือ 3PL ที่เหมาะสมที่สุดสำหรับแต่ละออเดอร์ โดยไม่ขึ้นอยู่กับว่ามาจากช่องทางใด
- รายงานเชิงลึกสำหรับการขายหลายช่องทาง: รายงานแบบเรียลไทม์ที่แสดงข้อมูลการขาย การคืนสินค้า การจัดซื้อ มูลค่าสินค้า และสถานะคำสั่งซื้อ เพื่อวิเคราะห์ประสิทธิภาพของแต่ละช่องทางได้อย่างละเอียด
ภาพหน้าจอจากรายงานของ Linnworks แสดงการแยกจำนวนออเดอร์ระหว่างช่องทาง Wish และการขายตรง
รายงานอีคอมเมิร์ซของ Linnworks
6. AfterShip Returns
การคืนสินค้าอาจเป็นเรื่องยุ่งยากแต่ก็สำคัญมากสำหรับการทำธุรกิจออนไลน์ แอป AfterShip Returns ช่วยให้ร้านค้าที่ขายของหลายช่องทางสามารถจัดการกระบวนการส่งคืนสินค้า (reverse logistics) ผ่านระบบของ Shopify ได้โดยตรง เพื่อสร้างประสบการณ์การคืนสินค้าที่ราบรื่นให้ลูกค้าไม่ว่าจะซื้อจากช่องทางใดก็ตาม
ฟีเจอร์ของ AfterShip Returns
- หน้าคืนสินค้าพร้อมแบรนด์: ส่งลูกค้าที่ซื้อสินค้าผ่านช่องทางอื่นให้กลับมายังร้าน DTC ของคุณ เพื่อทำรายการคืนสินค้าผ่านพอร์ทัลออนไลน์แบบบริการตนเองของ AfterShip
- กฎการคืนสินค้า: อัปโหลดนโยบายการคืนสินค้าของร้าน และตั้งระบบอนุมัติหรือปฏิเสธการคืนสินค้าโดยอัตโนมัติตามเงื่อนไขที่กำหนด
- ตัวเลือกวิธีคืนสินค้า: มอบประสบการณ์การคืนสินค้าที่สอดคล้องกันทุกช่องทาง โดยให้ลูกค้าเลือกวิธีคืนได้หลายรูปแบบ เช่น คืนสินค้าที่หน้าร้าน ส่งคืนที่ Walgreens หรือใช้ใบส่งคืนล่วงหน้าของ DHL
7. Jasper PIM
สำหรับร้านค้าที่ขายสินค้าหลายช่องทาง ความแม่นยำของข้อมูลสินค้าถือเป็นเรื่องท้าทาย Jasper ถูกพัฒนาเพื่อแก้ปัญหานี้โดยเฉพาะ ระบบ PIM ของ Jasper ช่วยเชื่อมต่อแหล่งข้อมูลหลายระบบ เพื่อจัดเก็บและอัปเดตข้อมูลสินค้าทั้งหมดให้ตรงกันเสมอ
สิ่งที่สามารถทำได้ด้วย Jasper PIM
- จัดการแคตตาล็อกสินค้าได้ทั้งหมด: จัดเก็บข้อมูลสินค้า เช่น SKU รายละเอียดสินค้า หมายเหตุการจัดส่ง และข้อมูลการรับประกันไว้ในที่เดียว โดยเมื่อมีการอัปเดต ข้อมูลจะปรับอัตโนมัติในทุกช่องทางที่เชื่อมไว้
- กระจายรายการสินค้า: ลงขายสินค้าบน Marketplace ระดับโลก เช่น Walmart หรือ Amazon พร้อมตั้งราคาส่งเสริมการขายผ่านฟังก์ชันของ Jasper
- ขยายสู่ตลาดต่างประเทศ: ใช้ Jasper เก็บชื่อสินค้า คำอธิบาย และสกุลเงินในภาษาต่าง ๆ เพื่อใช้เมื่อต้องขายสินค้าบน Marketplace ระดับสากล
ภาพหน้าจอจาก Jasper PIM แสดงตัวอย่างการจัดเก็บข้อมูลสินค้านาฬิกาอัตโนมัติ ทั้งชื่อสินค้า รหัส SKU และรายละเอียดทางเทคนิค
ระบบ PIM ของ Jasper ช่วยจัดเก็บคุณลักษณะสำคัญของสินค้าในที่เดียว
8. Gorgias
ซอฟต์แวร์ Gorgias คือระบบศูนย์ช่วยเหลือลูกค้า (Help Desk Software) ที่รวบรวมบทสนทนาจากลูกค้าทุกช่องทางไว้ในที่เดียว เพื่อให้ทีมของคุณตอบกลับได้รวดเร็วผ่านแดชบอร์ดเดียว
ร้านค้าที่ใช้ Gorgias สามารถทำได้ดังนี้
- ดึงบทสนทนาจากหลายช่องทาง: รวมข้อความจากอีเมล แชทสด SMS WhatsApp คอมเมนต์บนโซเชียลมีเดีย และข้อความเสียงไว้ในที่เดียว
- สร้างเมนูช่วยเหลือตนเอง: ประหยัดเวลาการตอบกลับด้วยระบบแชทสดอัตโนมัติ ที่ช่วยนำทางลูกค้าไปยังคำตอบได้ทันทีโดยไม่ต้องใช้เจ้าหน้าที่
- ดูเส้นทางการซื้อของลูกค้าทั้งหมด: ดึงข้อมูลคำสั่งซื้อจาก Shopify ดูข้อมูลติดต่อของลูกค้า และตรวจสอบประวัติการสนทนากับฝ่ายบริการได้ผ่านแดชบอร์ดของ Gorgias เพื่อมอบบริการเฉพาะบุคคลตามที่ลูกค้าคาดหวัง
9. Veeqo Shipping
Veeqo Shipping คือโปรแกรมจัดส่งสินค้าฟรีสำหรับร้านค้าที่ขายของหลายช่องทาง ช่วยให้ร้านค้าสามารถเสนอการจัดส่งฟรีและรวดเร็วให้ลูกค้าได้ ไม่ว่าจะซื้อสินค้าผ่านช่องทางใดก็ตาม
ด้วยแอป Veeqo Shipping ที่ได้รับการรับรองจาก Shopify ร้านค้าสามารถทำได้ดังนี้:
- เสนอส่วนลดค่าจัดส่ง: ด้วยพาร์ตเนอร์จัดส่งอย่าง FedEx, DHL, UPS และ USPS ทำให้ร้านค้าสามารถมอบบริการจัดส่งฟรีตามที่ลูกค้ากว่า 75% คาดหวังได้ โดยไม่กระทบต่อกำไรเมื่อต้องขายข้ามช่องทาง
- ตั้งค่ากฎการจัดส่งอัตโนมัติ: เชื่อมต่อช่องทางขายและกำหนดให้ระบบเลือกผู้ให้บริการขนส่งหรือ 3PL ที่เหมาะสมที่สุดโดยอัตโนมัติ ตามน้ำหนัก มูลค่า หรือคุณสมบัติของแต่ละออเดอร์
- ให้ลูกค้าติดตามการจัดส่งหลายช่องทาง: ลูกค้าสามารถติดตามพัสดุของตนได้ไม่ว่าจะซื้อจากช่องทางใด ด้วยฟังก์ชันติดตามการจัดส่งของ Veeqo Shipping
กราฟิกแสดงให้เห็นว่าร้านค้าที่ขายหลายช่องทางสามารถดูออเดอร์จาก Amazon, eBay และ Shopify ได้ในแดชบอร์ดของ Veeqo
ผสานข้อมูลการจัดส่งจากหลายแพลตฟอร์มเข้าสู่ Veeqo
10. Polar Analytics
Polar Analytics คือเครื่องมือ Business Intelligence ที่ดึงข้อมูลจากทุกช่องทางขายมารวมไว้ในแดชบอร์ดรายงานเดียว ร้านค้า Shopify กว่า 1,500 แห่งใช้แพลตฟอร์มข้อมูลนี้เพื่อตัดสินใจบนฐานข้อมูลและเลิกทำรายงานด้วยมือ
Polar Analytics ช่วยให้ร้านค้าสามารถ
- เชื่อมต่อหลายช่องทางการตลาด ซิงก์ข้อมูลจาก Google Analytics, Facebook, Klaviyo, TikTok และ Pinterest Ads เข้ากับข้อมูลออเดอร์ใน Shopify เพื่อเห็นภาพรวมว่าแคมเปญแบบหลายช่องทางส่งผลต่อยอดขายอย่างไร
- ใช้แดชบอร์ดสำเร็จรูป เห็นตัวชี้วัดสำคัญได้ทันทีผ่านแดชบอร์ดที่ตั้งค่าไว้ล่วงหน้าเพื่อแสดง KPI ที่สำคัญที่สุดของคุณ
- ตั้งการแจ้งเตือน เชื่อม Polar Analytics กับ Slack หรืออีเมลเพื่อรับการแจ้งเตือนแบบเรียลไทม์เมื่อเมตริกสำคัญมีการเปลี่ยนแปลง
เริ่มใช้โปรแกรมช่วยขายของหลายช่องทางเลยตอนนี้
ลูกค้าที่สลับไปมาระหว่างหลายช่องทาง ประสบการณ์ช้อปปิ้งที่ไม่ต่อเนื่องระหว่างอุปกรณ์ ระบบภายในที่เต็มไปด้วยช่องโหว่และข้อมูลไม่เชื่อมกัน ทั้งหมดนี้ฟังดูเหมือนฝันร้ายของเจ้าของธุรกิจใช่ไหม?
การขายสินค้าผ่านหลายช่องทางช่วยให้เข้าถึงลูกค้าได้มากขึ้นและเพิ่มยอดขายได้จริง แต่แทบเป็นไปไม่ได้เลยหากไม่มี โปรแกรมช่วยขายของหลายช่องทาง ที่ออกแบบมาโดยเฉพาะ
คุณต้องมีระบบที่ยืดหยุ่นพอจะเข้าถึงลูกค้าได้ทุกที่ พร้อมพาร์ตเนอร์อย่างเป็นทางการที่ช่วยให้ประสบการณ์ช้อปปิ้งเป็นหนึ่งเดียวกัน Shopify รวมทุกกระบวนการหลังบ้านไว้ในที่เดียว ทำงานอัตโนมัติในส่วนที่สามารถทำได้ และแสดงข้อมูลยอดขายแบบเรียลไทม์ เพื่อให้คุณตัดสินใจทางธุรกิจได้เร็วขึ้นและแม่นยำกว่าเดิม
คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับโปรแกรมช่วยขายของหลายช่องทาง
การขายข้ามแพลตฟอร์มคืออะไร?
การขายสินค้าผ่านหลายแพลตฟอร์มหรือหลาย Marketplace เรียกว่า การขายข้ามแพลตฟอร์ม วิธีนี้ช่วยให้คุณเข้าถึงกลุ่มลูกค้าที่แตกต่างกันในแต่ละช่องทาง ขยายการมองเห็นของแบรนด์ และเพิ่มยอดขายได้มากขึ้น
สามารถขายสินค้าบนหลายแพลตฟอร์มได้มั้ย?
ได้แน่นอน ธุรกิจสามารถขายสินค้าผ่านหลายช่องทาง ทั้งร้านค้าออนไลน์ Marketplace โซเชียลมีเดีย และแพลตฟอร์มขายส่ง โดยใช้กลยุทธ์จากโปรแกรมช่วยขายของหลายช่องทาง เพื่อให้เข้าถึงลูกค้าได้ทุกที่ที่พวกเขาช้อป
ขายสินค้าชิ้นเดียวกันบนหลายเว็บไซต์ได้หรือไม่?
ทำได้ แบรนด์ส่วนใหญ่จะใช้ระบบจัดการสต๊อกแบบศูนย์กลาง เพื่อให้อัปเดตข้อมูลแบบเรียลไทม์ เมื่อมีการขายหรือเพิ่มสินค้าใหม่ ระบบจะอัปเดตไปยังทุกแพลตฟอร์มอัตโนมัติ
จะลงขายสินค้าพร้อมกันบนหลายแพลตฟอร์มได้ยังไง?
สามารถใช้ Shopify ซึ่งออกแบบมาสำหรับการขายหลายช่องทางโดยเฉพาะ Shopify ช่วยให้คุณจัดการการลงสินค้า สต๊อก และยอดขายในทุกแพลตฟอร์มได้จากแดชบอร์ดเดียว ไม่ต้องสลับระบบไปมา
ทำไมถึงควรขายสินค้าบนหลายแพลตฟอร์ม?
เพราะการขายหลายช่องทางช่วยให้ธุรกิจของคุณเข้าถึงลูกค้าจำนวนมากขึ้นในเวลาเดียวกัน และสามารถเจอกับลูกค้าได้ในทุกช่วงของการตัดสินใจซื้อ ตั้งแต่การค้นหาสินค้าจนถึงการสั่งซื้อจริง
ควรขายบนกี่แพลตฟอร์มถึงจะเหมาะสม?
ไม่มีจำนวนที่ตายตัวว่าควรขายบนกี่แพลตฟอร์ม แต่แนะนำให้เริ่มจากช่องทางที่ลูกค้าของคุณนิยมใช้มากที่สุดก่อน จากนั้นค่อยขยายไปยังช่องทางอื่นเมื่อคุณคุ้นเคยกับระบบและความท้าทายของการขายแบบหลายช่องทางแล้ว


