ตลาด Subscription นั้นเติบโตขึ้นอย่างต่อเนื่องมาเป็นเวลาหลายปี และคาดว่าจะยังคงขยายตัวไปเรื่อยๆ โดยคาดการณ์ว่าในปี 2028 มูลค่าของ Subscription ออนไลน์จะสูงถึง 2.3 ล้านล้านดอลลาร์เลยทีเดียว
รายได้ส่วนใหญ่เกิดจากบริษัทยักษ์ใหญ่ด้านสตรีมมิ่งและอีคอมเมิร์ซที่พลิกโฉมโมเดลนี้ให้กลายเป็นค่าใช้จ่ายประจำสำหรับหลายครัวเรือน
แต่ธุรกิจขนาดเล็กก็ใช้ Subscription เพื่อมอบความสะดวกสบายให้ลูกค้าและสร้างรายได้ที่มั่นคงและต่อเนื่องได้เช่นกัน บริษัทอีคอมเมิร์ซหลายแห่งขาย Subscription ทั้งการให้บริการคอนเทนต์ออนไลน์แบบพรีเมียมและการส่งเนื้อสัตว์รายเดือน
ในบทความนี้ คุณจะได้เรียนรู้วิธีใช้ Subscription Model เพื่อขายสินค้าของคุณออนไลน์ เข้าใจข้อดีข้อเสียของการเริ่มต้นธุรกิจด้วยการขาย Subscription และสำรวจแอป Subscription ที่ได้รับความนิยมมากที่สุดสำหรับร้านค้า Shopify ด้วย
พร้อมที่จะเริ่มต้นธุรกิจของคุณแล้วหรือยัง? สร้างเว็บไซต์ของคุณวันนี้ หรือเรียนรู้เพิ่มเติมเกี่ยวกับเครื่องมือของ Shopify สำหรับการขายออนไลน์และออฟไลน์ได้เลย
Subscription Model คืออะไร?
Subscription Model คือรูปแบบธุรกิจที่ลูกค้าจ่ายค่าบริการเป็นประจำ เพื่อรับสินค้า หรือบริการอย่างต่อเนื่องในช่วงเวลาหนึ่ง Subscription เป็นโมเดลรายได้แบบดั้งเดิมในหลายอุตสาหกรรม เช่น สื่อสิ่งพิมพ์ เคเบิลทีวี ซอฟต์แวร์ งานภูมิทัศน์ และบริการจัดส่งของชำ ล่าสุด การเก็บเงินแบบ Subscription ก็กลายเป็นวิธีการชำระเงินยอดนิยมในอีคอมเมิร์ซด้วย
ตัวอย่างเช่น หลายบริษัทซอฟต์แวร์จะให้สิทธิ์ใช้งานผ่านระบบ Subscription ขณะที่บริการสตรีมมิ่งและห้องสมุดเนื้อหาก็ให้ลูกค้าสมาชิกเข้าถึงคอนเทนต์ได้ไม่จำกัด บางนักออกแบบและครีเอเตอร์อิสระก็ใช้ Subscription ในการขายสินค้าดิจิทัลของตัวเอง
นอกจากนี้ กล่อง Subscription ที่คัดสรรสินค้าเฉพาะอย่างยังช่วยให้ร้านค้าออนไลน์สร้างรายได้ที่มั่นคง พร้อมเพิ่มมูลค่าและความสะดวกสบายให้กับลูกค้า ธุรกิจที่ขายสินค้าที่ต้องเติมหรือซื้อซ้ำบ่อยๆ ก็สามารถเสนอ Subscription เพื่อช่วยให้ลูกค้าสั่งซื้อซ้ำได้ง่ายขึ้น
โดยรวมแล้ว หลายธุรกิจชอบใช้ Subscription Model เพราะช่วยสร้างความสัมพันธ์ที่แน่นแฟ้นกับลูกค้า และช่วยให้คาดการณ์รายได้ได้แม่นยำขึ้น
ข้อดีของ Subscription Model
มีเหตุผลหลายประการทำให้ธุรกิจจำนวนมากเลือกโมเดลแบบ Subscription แทนการขายแบบครั้งเดียวจบ
รายได้ที่คาดการณ์ได้
ฐานลูกค้าแบบ Subscription ทำให้ธุรกิจมีรายได้ประจำเข้ามาอย่างต่อเนื่อง ซึ่งช่วยให้คุณสามารถคาดการณ์ยอดเงินที่จะได้รับในแต่ละช่วงเวลาได้แม่นยำขึ้น
การมีรายได้ที่คาดการณ์ได้ ทำให้การวางแผนยอดขาย การวางแผนสต๊อก และการลงทุนเพื่อขยายธุรกิจทำได้ง่ายขึ้นมาก
เงินสดในมือมากขึ้น
ธุรกิจ Subscription หลายแห่งเลือกเก็บเงินลูกค้าล่วงหน้าสำหรับระยะเวลาทั้งหมดของ Subscription ซึ่งช่วยให้มีเงินสดในมือมากขึ้น ส่งผลดีต่อกระแสเงินสด และเหมาะกับสตาร์ทอัพที่อยากเริ่มต้นธุรกิจโดยไม่ต้องลงทุนสูง
โดยทั่วไปแล้ว จะมีการเสนอราคาพิเศษสำหรับการสมัครแบบระยะยาว เพื่อกระตุ้นให้ลูกค้าที่ลังเลตัดสินใจได้ง่ายขึ้น
การหาลูกค้าใหม่อย่างมีประสิทธิภาพ
โมเดลการตั้งราคารายชิ้นต้องใช้เงินลงทุนด้านการตลาดอย่างต่อเนื่องเพื่อดึงดูดลูกค้าใหม่ ซึ่งทำให้ต้นทุนการหาลูกค้าสูงขึ้น โดยมีการประมาณว่า การได้ลูกค้าใหม่ 1 รายมีต้นทุนสูงกว่าการรักษาลูกค้าเดิมถึง 5 เท่า
แต่ในโมเดล Subscription ลูกค้าแต่ละรายจะมีมูลค่าที่คาดหวังจากการใช้งานของลูกค้าสูงกว่า ทำให้คุณไม่จำเป็นต้องลงทุนเพื่อหาลูกค้าใหม่อยู่ตลอดเวลา ธุรกิจก็ยังเดินต่อได้
ความภักดีของลูกค้า
หลายธุรกิจเชื่อว่า Subscription สร้างวงจรที่ดี (virtuous cycle) เพราะการซื้อซ้ำอย่างสม่ำเสมอทำให้ธุรกิจเข้าใจพฤติกรรมของลูกค้าได้ลึกขึ้น และนำข้อมูลเหล่านั้นไปใช้สร้างประสบการณ์และการสื่อสารที่ตรงใจมากขึ้น ซึ่งช่วยให้ลูกค้ารู้สึกพึงพอใจและอยู่กับแบรนด์นานขึ้น
มีการประเมินว่าลูกค้าเดิมใช้จ่ายมากกว่าลูกค้าใหม่สูงถึง 67% ซึ่งยิ่งตอกย้ำถึงความสำคัญของความภักดีต่อแบรนด์
ปิดการขายและขายสินค้าเสริมได้ง่ายขึ้น
Subscription เป็นวิธีหนึ่งในการแบ่งค่าใช้จ่ายก้อนใหญ่ให้กลายเป็นยอดชำระรายเดือนที่เล็กลงและจัดการได้ง่ายขึ้น ซึ่งสามารถช่วยให้ลูกค้าตัดสินใจซื้อได้ง่ายขึ้น
การที่คุณสามารถติดต่อกับสมาชิกได้อย่างต่อเนื่อง ยังเปิดโอกาสให้คุณทำการตลาดเพื่อแนะนำสินค้า หรือบริการอื่นๆ ให้กับพวกเขาได้ด้วย หรือที่เรียกว่าการขายเสริมนั่นเอง
ประเภทของ Subscription Model
ก่อนเริ่มขาย Subscription สิ่งแรกที่ต้องทำคือเลือกโมเดลให้เหมาะกับธุรกิจของคุณที่สุด ซึ่งโดยทั่วไปแล้ว Subscription จะแบ่งออกเป็น 3 แบบหลักๆ ได้แก่ การคัดสรร การเติม และการเข้าถึง
เรามาดูรายละเอียดของแต่ละแบบกัน พร้อมข้อดีข้อเสียที่ควรรู้กัน
การคัดสรร
Subscription แบบการคัดสรรมักจะมาในรูปแบบของกล่อง Subscription ซึ่งมี Birchbox, ButcherBox และ Stitch Fix เป็นผู้นำที่ทำให้คอนเซปต์นี้เป็นที่นิยม โดยส่งสินค้าหรือประสบการณ์ที่เลือกสรรมาอย่างตั้งใจให้กับลูกค้า โดยคิดค่าบริการแบบรายเดือนหรือรายงวดต่อเนื่อง
โมเดลการคัดสรรมักจะเหมาะกับอุตสาหกรรมที่เกี่ยวกับเสื้อผ้า ความงาม และอาหาร ซึ่งลูกค้าจะได้รับการกระตุ้นให้ลองสินค้าหรือประสบการณ์ใหม่ๆ อยู่เสมอ และโมเดลนี้ก็ยังขยายไปสู่กลุ่มสินค้าและบริการใหม่ๆ อย่างต่อเนื่องในทุกปี
ราคากล่อง Subscription โดยทั่วไปจะอยู่ระหว่าง 525 ถึง 3,500 บาทต่อเดือน และเมื่อมีสมาชิกมากขึ้น โมเดลนี้ก็สามารถสร้างรายได้และเติบโตอย่างรวดเร็วได้ในระยะยาว
ข้อดีและข้อเสียของ Subscription แบบการคัดสรรก็มีดังนี้
ข้อดี
- มีโอกาสสร้างกำไรสูงจากรายได้ที่เกิดขึ้นซ้ำๆ
- ยืดหยุ่น สามารถปรับเปลี่ยนสินค้าที่คัดสรรได้ตามเทรนด์และความต้องการของลูกค้า
- สร้างความผูกพันกับลูกค้าผ่านประสบการณ์ที่ออกแบบมาเฉพาะ
ข้อเสีย
- ความน่าสนใจของกล่อง Subscription อาจทำให้ลูกค้าเปลี่ยนใจบ่อย ทำให้อัตราการเลิกใช้บริการสูง
- กล่อง Subscription อาจถูกมองว่าเป็นสินค้าฟุ่มเฟือย ซึ่งอาจได้รับผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมการใช้จ่ายของผู้บริโภค
- การจัดหาสินค้าจากซัพพลายเออร์หลายรายและการจัดส่งกล่อง Subscription อาจซับซ้อนและใช้เวลามาก
การเติม
Subscription แบบเติมสินค้าช่วยให้ลูกค้าสามารถตั้งค่าให้ซื้อสินค้าจำเป็นอย่างต่อเนื่องโดยอัตโนมัติ ซึ่งมักจะมีราคาพิเศษช่วยประหยัดค่าใช้จ่าย โมเดลนี้เน้นเรื่องความสะดวกและการประหยัดสำหรับลูกค้า
สินค้าที่เหมาะกับ Subscription แบบเติม ได้แก่ ของใช้ประจำวันและของที่ต้องเติมเรื่อยๆ เช่น มีดโกน ผ้าอ้อม วิตามิน และอาหารสัตว์เลี้ยง
โมเดลการเติมยังเหมาะกับผู้ขายส่งในบริบทธุรกิจต่อธุรกิจ (B2B) ด้วย เช่น คุณอาจโปรโมต Subscription เทียนหอม หรือผลิตภัณฑ์อาบน้ำ ให้กับโรงแรมที่ต้องการสต็อกสินค้าท้องถิ่น หรือทำตลาดบริการ Subscription อาหารของคุณให้กับร้านค้าอิสระและร้านกาแฟต่างๆ
ข้อดีและข้อเสียของ Subscription แบบการเติมก็มีดังนี้
ข้อดี
- งานวิจัยชี้ว่าแบรนด์ที่ใช้โมเดลการเติมมีอัตราคอนเวอร์ชันสูงกว่า Subscription Model ประเภทอื่น
- Subscription แบบการเติมยังมักมีอัตราการต่ออายุที่ดีในระยะยาว
ข้อเสีย
- ไม่ใช่ทุกสินค้าที่เหมาะกับการเติมสต็อกซ้ำเป็นประจำ จึงอาจจำกัดประเภทสินค้าที่คุณสามารถขายได้
- การแข่งกับตัวเลือกซื้อครั้งเดียวอาจทำให้ต้องตั้งราคาลดเพื่อดึงดูดลูกค้า ซึ่งอาจกระทบกับมาร์จิ้นกำไรของคุณ
การเข้าถึง
Subscription แบบเข้าถึงมักมีค่าบริการรายเดือน เพื่อให้ลูกค้าได้รับราคาที่ถูกลง สิทธิพิเศษเฉพาะ หรือเข้าถึงคลังสินค้าหรือเนื้อหาต่างๆ JustFab, NatureBox, Amazon Prime และ Thrive Market เป็นตัวอย่างของธุรกิจ Subscription แบบเข้าถึง ที่คุณค่าหลักอยู่ที่การมอบความรู้สึกพิเศษและความคุ้มค่าให้กับลูกค้า
ข้อดีและข้อเสียของ Subscription แบบการเข้าถึงก็มีดังนี้
ข้อดี
- โอกาสในการสร้างความสัมพันธ์กับลูกค้าได้แน่นแฟ้นผ่านสิทธิพิเศษและข้อเสนอที่ปรับให้เหมาะกับแต่ละคน
- มีโอกาสสร้างชุมชนสมาชิกผ่านฟอรั่มหรือกลุ่มโซเชียลมีเดีย
- เปิดโอกาสในการขายเพิ่มและขายเสริมให้กับสมาชิกที่แสดงความสนใจในบริการพรีเมียม
ข้อเสีย
- ลูกค้าอาจคาดหวังว่าจะได้รับสิทธิพิเศษหรือข้อเสนอใหม่ๆ อย่างต่อเนื่อง
- ต้นทุนในการให้บริการหรือจัดหาสินค้าอาจเพิ่มขึ้นตามความคาดหวังที่สูงขึ้นของลูกค้า
แบบผสม
โมเดล Subscription แบบ Hybrid เปิดโอกาสให้คุณผสานบริการ Subscription เข้ากับโมเดลธุรกิจที่คุณมีอยู่แล้ว เป็นแนวทางที่หลายแบรนด์เริ่มนำมาใช้มากขึ้น เพราะช่วยให้สามารถทดลองเข้าสู่โลกของ Subscription ได้โดยไม่ต้องเปลี่ยนโมเดลรายได้ทั้งหมดในคราวเดียว
ข้อดีและข้อเสียของ Subscription แบบผสมก็มีดังนี้
ข้อดี
- ทดลองให้บริการแบบ Subscription ควบคู่กับการขายแบบปกติ
- เพิ่มช่องทางรายได้อีกหนึ่งทางเพื่อช่วยให้รายรับมีความเสถียรมากขึ้น
- เรียนรู้พฤติกรรมลูกค้าและระดับความเต็มใจในการจ่ายสำหรับสินค้า/บริการของคุณ
ข้อเสีย
- การบริหาร Subscription พร้อมกับการขายปกติอาจทำให้ระบบสต็อก การจัดส่ง และบริการลูกค้ามีความซับซ้อนมากขึ้น
- การเพิ่มบริการ Subscription อาจทำให้ลูกค้าสับสนเกี่ยวกับคุณค่าหลักของแบรนด์
- อาจต้องลงทุนด้านการตลาดเพิ่มขึ้นเพื่อโปรโมตและรักษาบริการ Subscription ให้เติบโต
ถ้าคุณกำลังพิจารณาใช้ Subscription Model กับธุรกิจ ควรเริ่มจากการสำรวจโมเดลรายได้อื่นๆ ในโลกของอีคอมเมิร์ซ เพื่อหาวิธีที่เหมาะสมที่สุดสำหรับแบรนด์ของคุณ
จะรู้ได้อย่างไรว่า Subscription Model เหมาะกับธุรกิจของคุณ
Subscription อาจเหมาะกับสินค้าหรือบริการหลากหลายประเภท แต่ก็ไม่ใช่ทางออกที่ใช้ได้กับทุกธุรกิจ ก่อนจะลงมือทำจริง ลองพิจารณาก่อนว่า Subscription Model เหมาะกับธุรกิจของคุณและลูกค้าของคุณจริงหรือไม่
1. สินค้าหรือบริการของคุณเหมาะกับ Subscription Model ไหม
ลองประเมินดูว่าสินค้าหรือบริการของคุณเหมาะกับการทำเป็น Subscription หรือเปล่า พิจารณาว่าสิ่งที่คุณนำเสนอช่วยตอบโจทย์ลูกค้าในระยะยาวได้แค่ไหน และสามารถมอบประโยชน์หรือความคุ้มค่าได้ต่อเนื่องหรือไม่ การมีคุณค่านำเสนอที่ชัดเจนเป็นเรื่องสำคัญ คุณต้องสื่อให้ชัดว่าสินค้าแบบ Subscription ของคุณแก้ปัญหาอะไรให้ลูกค้า และมีอะไรแตกต่างจากคู่แข่ง
ตัวอย่างเช่น บริการที่ให้คุณค่าอย่างต่อเนื่อง เช่น การอัปเดตซอฟต์แวร์ การดูแลเว็บไซต์ หรือบริการแบบคัดสรรประสบการณ์ต่างๆ มักเหมาะกับการทำ Subscription ถ้าสินค้าของคุณสามารถดึงให้ลูกค้าอยู่กับคุณไปได้เรื่อยๆ นั่นก็เป็นสัญญาณที่ดีว่า Subscription Model อาจเหมาะกับคุณ
2. มีความต้องการในตลาดหรือไม่
ในโลกของ Subscription บางหมวดหมู่สินค้าก็มีคู่แข่งแน่นหนาอยู่แล้ว ทำให้การเข้าสู่ตลาดทำได้ยากขึ้น เช่น หมวด meal-kit ที่มีตัวเลือก Subscription ให้เลือกเต็มไปหมด และยังมีอัตราการยกเลิก Subscription ที่ค่อนข้างสูงด้วย
ยิ่งตลาดหรือกลุ่มเฉพาะของคุณแข่งขันสูงเท่าไหร่ คุณก็อาจต้องพิจารณาเรื่องกลยุทธ์ราคาให้แข่งขันได้ รวมถึงต้นทุนอื่นๆ ที่อาจมากระทบกำไร ก่อนจะตัดสินใจทำ Subscription Model ควรทำการวิจัยตลาดให้รอบด้านเพื่อดูว่ามีความต้องการจริงไหม
คุณอาจลองทดสอบตลาดด้วยสินค้าหรือบริการแบบ Subscription ที่ยังเป็นเวอร์ชันทดลองก่อนก็ได้ เพื่อดูว่ากลุ่มเป้าหมายตอบสนองยังไง
3. คุณสามารถปรับแต่งสินค้าให้เหมาะกับลูกค้าได้มั้ย
กค้าหลายคน โดยเฉพาะคนที่รับ Subscription แบบกล่อง มักจะชอบมีตัวเลือกให้ปรับแต่งประสบการณ์ตามความต้องการและความชอบของตัวเอง
การปรับแต่งนี้อาจรวมถึงการให้ราคาที่เหมาะสมกับแต่ละคน หรือเปิดโอกาสให้ลูกค้าเลือกสินค้าที่ต้องการได้ เมื่อคุณกำลังพิจารณาว่า Subscription Model เหมาะกับธุรกิจของคุณหรือไม่ ลองคิดดูว่า คุณมีข้อมูลและทรัพยากรเพียงพอที่จะทำการปรับแต่งนี้ได้จริงหรือเปล่า ถ้ายังไม่มีในตอนนี้ ก็ลองดูว่าการพัฒนาระบบปรับแต่งในอนาคตนั้นเป็นไปได้หรือไม่
4. คุณมีแผนการรักษาลูกค้าหรือไม่
เมื่อเริ่มต้นธุรกิจ Subscription จุดสนใจแรกของคุณมักจะอยู่ที่การหาลูกค้าเพื่อเพิ่มยอดขาย แต่เมื่อธุรกิจเริ่มโตขึ้น สิ่งสำคัญคือคุณต้องเปลี่ยนโฟกัสไปที่กลยุทธ์การรักษาลูกค้า
อัตราการเลิกใช้บริการ หรือ churn ถือเป็นความเสี่ยงที่สำคัญสำหรับธุรกิจ Subscription ข่าวดีคือ ลูกค้าที่สมัครใช้บริการมักจะมีความภักดีสูงเมื่อพวกเขาพบว่าบริการนั้นตอบโจทย์และถูกใจ
การรักษาลูกค้าเดิมมีต้นทุนน้อยกว่าการหาลูกค้าใหม่ และฐานลูกค้าที่ภักดีจะสร้างมูลค่ามากขึ้นในระยะยาว โดยอุดมคติแล้ว อัตราส่วนมูลค่าตลอดชีพของลูกค้า (CLV) ต่อค่าใช้จ่ายในการหาลูกค้า (CAC) ควรเป็น 3:1 หมายความว่า ทุกๆ 1 ดอลลาร์ที่คุณใช้หาลูกค้า คุณควรทำรายได้กลับมา 3 ดอลลาร์
5. คุณสามารถติดต่อกับลูกค้าได้อย่างต่อเนื่องหรือไม่
ในฐานะผู้ให้บริการ Subscription คุณกำลังสร้างความสัมพันธ์ระยะยาวกับลูกค้า ลูกค้า Subscription คาดหวังการสื่อสารและการสนับสนุนอย่างสม่ำเสมอจากคุณ
ธุรกิจ Subscription จะเติบโตได้ดีเมื่อมีการมีส่วนร่วมกับลูกค้าอย่างต่อเนื่องและมีความหมาย ซึ่งอีเมลมักจะเป็นเครื่องมือสำคัญ นอกจากนี้ Subscription Model แต่ละแบบก็มีวิธีการตลาดที่ได้ผลแตกต่างกันไป เช่น ในโมเดลแบบการคัดสรร การตลาดแบบตัวแทนสินค้าและบริการมักเป็นช่องทางหลักในการดึงดูดลูกค้าใหม่
การสร้างความสัมพันธ์ที่แน่นแฟ้นกับลูกค้าจะช่วยลดอัตราการยกเลิกโดยไม่ตั้งใจได้ด้วย
ทำไมการสร้างชุมชนถึงช่วยลดการยกเลิก Subscription
Adrian Wood นักแต่งเพลงได้เปลี่ยนชุมชนของเหล่าครีเอเตอร์ให้กลายเป็นธุรกิจ Subscription ที่ยั่งยืน
วิธีการเริ่มต้นธุรกิจการสมัครสมาชิก Subscription Model
Subscription Model สามารถนำมาเพิ่มในธุรกิจที่มีอยู่แล้ว หรือใช้เป็นฐานสำหรับสร้างธุรกิจใหม่ได้ ถ้าคุณสนใจจะเริ่มธุรกิจ Subscription ของตัวเอง ให้ทำตาม 5 ขั้นตอนนี้
1. เลือกไอเดีย Subscription ของคุณ
ขั้นตอนแรกคือการตัดสินใจว่า Subscription Model แบบไหนเหมาะกับธุรกิจของคุณ และจะขายสินค้าอะไร
การตัดสินใจนี้มักจะขึ้นอยู่กับสถานการณ์ปัจจุบันของคุณ เช่น ถ้าคุณมีแบรนด์เสื้อผ้าที่ประสบความสำเร็จ การใช้โมเดล Subscription แบบการคัดสรร จะช่วยเพิ่มมูลค่าการซื้อซ้ำของลูกค้าประจำ ด้วยการนำเสนอสินค้าหรือประสบการณ์ใหม่ๆ ที่พวกเขาน่าจะชอบ
ในทางกลับกัน คุณอาจมีไอเดียธุรกิจกล่อง Subscription แบบใหม่ที่อยากเริ่มต้นตั้งแต่ต้น ก็สามารถดูเป็นแรงบันดาลใจจากธุรกิจ Subscription ที่ได้รับความนิยมอย่าง FabFitFun ที่ส่งกล่องซึ่งมีสินค้า 6 - 8 ชิ้นตามฤดูกาล เช่น สินค้าสำหรับไปเที่ยวทะเลในช่วงฤดูร้อน หรือผลิตภัณฑ์บำรุงผิวแห้งในช่วงฤดูหนาว
ไม่ว่าจะแบบไหน ขั้นตอนแรกของคุณต้องเริ่มจากการคิดไอเดีย Subscription และร่างภาพรวมของรูปแบบการทำงานจริงของมันออกมา

2. เลือกสินค้าที่จะใช้ใน Subscription
เลือกประเภทสินค้าที่คุณอยากให้ธุรกิจ Subscription ของคุณส่งให้ลูกค้าในแต่ละเดือน นี่เป็นช่วงเวลาที่คุณอาจเริ่มติดต่อแบรนด์ต่างๆ เพื่อสร้างพันธมิตร เพื่อให้คุณสามารถนำสินค้าของพวกเขามาใส่ใน Subscription ของคุณได้ในราคาที่ถูกลง ช่วยลดต้นทุนธุรกิจของคุณ
นอกจากนี้ ยังเป็นเวลาที่เหมาะสมในการสร้างตัวอย่าง Subscription เพื่อทดสอบสินค้าและบริการของคุณ ตัวอย่างนี้ไม่จำเป็นต้องสมบูรณ์แบบ แค่ให้สามารถใช้สำหรับสร้างเนื้อหาการตลาดได้ เพื่อให้คุณเริ่มสร้างหน้าผลิตภัณฑ์ในเว็บไซต์ของคุณได้
ขึ้นอยู่กับประเภทสินค้าที่คุณเลือกขาย คุณอาจต้องยื่นขอใบอนุญาตธุรกิจด้วย
3. ตั้งราคาสำหรับตัวเลือก Subscription ของคุณ
เมื่อคุณรู้แล้วว่าสินค้าที่จะนำเสนอมีอะไรบ้างและต้นทุนเท่าไหร่ คุณก็สามารถเริ่มตั้งราคาสำหรับ Subscription ได้เลย ขึ้นอยู่กับสินค้าที่คุณเสนอ อาจจะมีระดับ Subscription หลายแบบให้ลูกค้าเลือก
เช่น กล่อง Subscription ขนม Variety Fun มี 2 ตัวเลือก คือ “ขนมธรรมดา” ที่ราคาถูกกว่าและมีขนมแบบคลาสสิก กับ “ขนมเฮลตี้” ที่เน้นขนมเพื่อสุขภาพ
นอกจากนี้ คุณอาจตั้งราคาตามระยะเวลาที่ลูกค้าสมัคร เช่น สมัครแบบปีละหนึ่งครั้ง ราคาต่อเดือนอาจถูกกว่าการจ่ายเป็นรายเดือน
อย่างไรก็ตาม อย่าลืมตั้งราคาให้ดึงดูดกลุ่มเป้าหมาย แต่ในขณะเดียวกันก็ต้องมั่นใจว่าธุรกิจยังได้กำไรด้วยล่ะ
4. เริ่มต้นร้านค้าออนไลน์ของคุณ
เมื่อคุณรู้แล้วว่าจะใช้ Subscription แบบไหนและตั้งราคาอย่างไร ก็ถึงเวลาสร้างร้านค้าออนไลน์ หรือสร้างส่วนของเว็บไซต์ที่เอาไว้โปรโมตบริการ Subscription ของคุณแล้ว ที่นี่คุณจะได้แชร์ภาพตัวอย่างสินค้า เปิดให้ลูกค้าสมัครใช้บริการ และบอกข้อมูลเรื่องราคาและฟีเจอร์ต่างๆ
เคล็ดลับหนึ่งในการสร้างร้านค้าออนไลน์ คือการใช้แพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซที่ออกแบบมาเพื่อรองรับการขายแบบ Subscription อย่าง Shopify ที่ช่วยให้คุณสร้างเว็บไซต์ Subscription ได้ง่ายๆ
บน Shopify คุณสามารถเพิ่มตัวเลือกให้ลูกค้าสั่งซื้อซ้ำในร้านค้าปัจจุบัน เปิด Subscription แบบเข้าถึงบริการ หรือจะสร้างกล่อง Subscription ขึ้นมาใหม่เลยก็ได้เช่นกัน
เพิ่มแอป Subscription ลงในร้านค้าออนไลน์ของคุณ
สร้างบริการ Subscription ได้ง่ายๆ โดยติดตั้งแอปจัดการ Subscription ในแพลตฟอร์มร้านค้าออนไลน์ของคุณ เช่น
- Shopify Subscriptions
- Utterbond
- Subify
- Recurring Go!
- Propel
- PayWhirl
- Awtomatic
- Bold
- Recharge
- Seal
- Appstle
ดูรายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับแอป Subscription เหล่านี้ หรือเยี่ยมชม Shopify App Store เพื่อเลือกดูแอป Subscription ทั้งหมด
5. ทำการตลาดให้กับธุรกิจ Subscription ของคุณ
เมื่อคุณเตรียมสินค้า Subscription ไว้พร้อม ร้านค้าออนไลน์สร้างเสร็จ และจดทะเบียนธุรกิจเรียบร้อย (ถ้าจำเป็น) ก็ถึงเวลาบอกลูกค้าให้รู้จักแบรนด์และสินค้าของคุณ
การตลาดเป็นกุญแจสำคัญสำหรับความสำเร็จของธุรกิจ นี่คือเคล็ดลับที่ควรทำ
- สร้างและสร้างแบรนด์บนทุกแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดียของคุณ
- ถ่ายรูปสินค้าเยอะๆ เพื่อเก็บไว้ใช้โปรโมทได้อย่างสร้างสรรค์
- เริ่มสร้างรายชื่ออีเมล และส่งจดหมายข่าวเป็นประจำ
- กันงบโฆษณาเล็กๆ ไว้สำหรับเริ่มสร้างการรับรู้แบรนด์
- ติดต่อไมโครอินฟลูเอ็นเซอร์ที่อาจร่วมมือกันได้ในราคาย่อมเยา
- เขียนและเผยแพร่ข่าวประชาสัมพันธ์เกี่ยวกับสินค้าของคุณ
- เข้าร่วมกลุ่มชุมชนออนไลน์เพื่อเพิ่มการรับรู้แบรนด์
- จัดกิจกรรมแจกของรางวัลหรือแข่งขันเพื่อดึงดูดความสนใจของลูกค้า
สร้างฐานลูกค้าและรายได้ด้วย Subscription Model
ด้วย Shopify การขาย Subscription ผ่านหน้าชำระเงินในร้านของคุณเป็นเรื่องง่าย ให้ลูกค้าได้สัมผัสประสบการณ์ชำระเงินที่ไร้รอยต่อ ไม่ว่าจะเป็นการซื้อครั้งเดียวหรือการสร้างความสัมพันธ์ระยะยาวกับแบรนด์ของคุณ
คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับ Subscription Model โมเดลธุรกิจการสมัครสมาชิก
ข้อดีหลักของ Subscription Model คืออะไร
Subscription Model ให้รายได้ที่คาดการณ์ได้ และส่งเสริมการรักษาฐานลูกค้าผ่านการชำระเงินที่เกิดขึ้นซ้ำๆ โมเดลนี้ช่วยให้ธุรกิจสร้างประสบการณ์ที่เป็นส่วนตัว และสร้างความสัมพันธ์กับลูกค้าอย่างเหนียวแน่น แบรนด์อย่าง Netflix ใช้โมเดลนี้โดยการอัปเดตคอนเทนต์อย่างต่อเนื่อง เพื่อทำให้สมาชิกมีความสนใจและพึงพอใจอยู่เสมอ
ตัวอย่างของ Subscription Model มีอะไรบ้าง
ตัวอย่างของ Subscription Model คือบริการสตรีมมิ่งอย่าง Netflix หรือ Hulu ที่ลูกค้าจ่ายค่าบริการรายเดือนเพื่อเข้าถึงคอนเทนต์ ลูกค้าสามารถเลือกแผน Subscription ต่างๆ ตามฟีเจอร์ที่ต้องการ ตัวอย่างอื่นๆ ได้แก่ การสมัครสมาชิกนิตยสารหรือหนังสือพิมพ์ บริการซอฟต์แวร์แบบ SaaS และกล่อง Subscription ที่ส่งสินค้าให้ลูกค้าเป็นประจำ
ธุรกิจ Subscription ทำกำไรได้หรือไม่
ทำได้ ธุรกิจ Subscription สามารถทำกำไรได้ ธุรกิจ Subscription ที่ประสบความสำเร็จต้องมี Subscription Model ที่ชัดเจน มีฐานลูกค้าที่แข็งแกร่ง และมีกลยุทธ์การตั้งราคาที่เหมาะสม ธุรกิจ Subscription มักสร้างรายได้ซ้ำๆ อย่างต่อเนื่อง ซึ่งช่วยเพิ่มโอกาสในการทำกำไรในระยะยาว นอกจากนี้ ธุรกิจ Subscription ยังได้รับประโยชน์จากขนาดธุรกิจที่ใหญ่ขึ้น ทำให้สามารถลดต้นทุนและเพิ่มกำไรได้
ธุรกิจ Subscription ทำเงินได้อย่างไร
ธุรกิจ Subscription สร้างรายได้โดยการเก็บค่าบริการซ้ำๆ จากลูกค้า เพื่อให้เข้าถึงบริการหรือสินค้า ค่าบริการนี้มักจะเรียกเก็บเป็นรายเดือนหรือรายปี โดยราคาของ Subscription มักจะตั้งตามมูลค่าที่ลูกค้าได้รับจากบริการหรือสินค้านั้นๆ นอกจากนี้ ธุรกิจ Subscription อาจสร้างรายได้เพิ่มเติมจากการโฆษณาและการขายสินค้าเสริมหรือบริการพิเศษ