ก่อนที่ใครจะเข้ามาซื้อของในร้านออนไลน์ของคุณได้ พวกเขาหาเว็บไซต์ของคุณก่อนให้เจอก่อน แต่เจ้าของธุรกิจถึง 21% ระบุว่า Traffic เว็บที่ต่ำคือปัญหาใหญ่ที่สุดของเว็บไซต์ อีกทั้งมีเพียง 22% ของผู้เข้าชมเว็บไซต์ที่มาจากการพิมพ์ URL โดยตรงลงในแถบค้นหา นั่นหมายความว่า ธุรกิจต่างๆ จำเป็นต้องขยายช่องทางให้ลูกค้าเข้าถึงเว็บไซต์ได้หลากหลายขึ้นนั่นเอง
ด้านล่างนี้คือ 26 กลยุทธ์ที่ได้รับการพิสูจน์แล้วว่า สามารถช่วยโปรโมตเว็บไซต์ให้เข้าถึงผู้คนจากหลายแหล่งทราฟฟิก พร้อมเปลี่ยนผู้เข้าชมให้กลายเป็นลูกค้าได้จริง แต่ละวิธีออกแบบมาเพื่อรองรับพฤติกรรมผู้ใช้อินเทอร์เน็ตรุ่นใหม่ เพื่อช่วยให้คุณสร้างภาพลักษณ์แบรนด์ที่ทันสมัยบนโลกออนไลน์ได้อย่างแข็งแกร่ง
วิธีเพิ่ม Traffic ให้เว็บไซต์ของคุณ
- SEO
- การตลาดคอนเทนต์
- การมีส่วนร่วมในโซเชียลมีเดียแบบออร์แกนิก
- การโฆษณาโซเชียลมีเดียแบบชำระเงิน
- การเพิ่ม Traffic จากการพบปะแบบตัวต่อตัว
SEO
ในหลายอุตสาหกรรมใหญ่ๆ เช่น วงการค้าปลีกและบริการมืออาชีพ พบว่าทราฟฟิกเว็บไซต์เฉลี่ยประมาณ 33% มาจากการค้นหาบนแบบออร์แกนิก ซึ่งการเพิ่ม Traffic แบบนี้ก็ขึ้นอยู่กับว่า เว็บไซต์ของคุณติดอันดับในการค้นหาที่เกี่ยวข้องมากแค่ไหน และตรงนี้แหละที่ SEO เข้ามามีบทบาท
การทำ SEO หรือ Search Engine Optimization คือการปรับแต่งเว็บไซต์ให้ติดอันดับดีในหน้าผลการค้นหา (SERPs) สำหรับคำค้นที่เกี่ยวข้อง เมื่อมีคนค้นหาสินค้าของคุณ คุณย่อมอยากให้เว็บไซต์ของคุณติดอยู่ในหน้าแรกและอยู่ใน 10 อันดับแรก เพราะการได้ตำแหน่งเหล่านี้คือหัวใจสำคัญในการเพิ่ม Traffic อย่างสม่ำเสมอและตรงกลุ่มเป้าหมาย
SEO เป็นศาสตร์ที่ต้องอาศัยความเข้าใจในกฎของระบบค้นหา เช่น Google และรู้จักนำมาปรับใช้กับเว็บไซต์ของคุณอย่างเหมาะสม เครื่องมือ SEO อย่าง Ahrefs และ SemRush จะช่วยให้คุณค้นหาโอกาสในการปรับแต่งคอนเทนต์และเพิ่มประสิทธิภาพเว็บไซต์ได้มากยิ่งขึ้น
ในส่วนนี้ เราจะพูดถึงแนวทางการทำ SEO สำหรับร้านค้าออนไลน์ที่ช่วยให้คุณเพิ่มประสิทธิภาพเว็บไซต์ได้อย่างมีระบบ
1. เขียน Title Tag ให้ตรงกับเจตนาการค้นหา
ความสามารถในการเพิ่ม Traffic ให้เว็บ: 👤👤👤
ค่าใช้จ่าย: 💰
ระยะเวลาเห็นผลลัพธ์: ภายในไม่กี่วัน
ระดับความพยายาม: ต่ำ
Title Tag คือข้อความที่แสดงอยู่บนหน้าผลการค้นหา (SERPs) ซึ่งมีผลโดยตรงว่าผู้ใช้จะคลิกเข้ามายังเว็บไซต์ของคุณหรือไม่ พร้อมกับ Meta Description (ซึ่งเราจะพูดถึงต่อไป) ทั้งสองอย่างนี้คือความประทับใจแรกที่คนจะเห็นก่อนเข้ามาที่เว็บไซต์ของคุณจากการค้นหา
สิ่งที่ควรทำเมื่อต้องเขียน Title Tag ให้เว็บไซต์มีดังนี้
- เขียนชื่อเรื่องให้ไม่ซ้ำกันในแต่ละหน้า
- จำกัดความยาวให้น้อยกว่า 55 ตัวอักษร
- เลือกรูปแบบการเขียนให้สม่ำเสมอ เช่น ใช้ตัวพิมพ์ใหญ่เฉพาะคำแรก หรือทุกคำในแต่ละหัวข้อ
- ใส่คีย์เวิร์ดเป้าหมายไว้ใน Title
- เขียนให้ตรงกับเจตนาหรือความต้องการของคนที่ค้นหาคำเหล่านั้น
Google เคยอธิบายไว้ว่า “Title มีความสำคัญเพราะช่วยให้ผู้ใช้เข้าใจเนื้อหาเบื้องต้นของแต่ละผลการค้นหา และตัดสินใจได้ว่าผลลัพธ์ไหนเกี่ยวข้องกับสิ่งที่พวกเขากำลังมองหา” เพราะฉะนั้นถ้าคุณอยากให้คนคลิก ก็ต้องใส่ใจในการเขียน Title บนแต่ละหน้าให้ดี
2. เขียน Meta Description ให้น่าดึงดูด
ความสามารถในการเพิ่ม Traffic ให้เว็บ: 👤👤
ค่าใช้จ่าย: 💰
ระดับความพยายาม: ภายในไม่กี่วัน
ระดับความพยายาม: ต่ำ
ข้อความที่อยู่ใต้ Title Tag ในหน้าผลการค้นหา เรียกว่า Meta Description เมื่อหน้าที่ของ Title คือดึงดูดความสนใจและบอกให้คนรู้ว่าเนื้อหาเกี่ยวกับอะไร Meta Description ก็จะมีหน้าที่การสรุปเนื้อหาคร่าวๆ ของหน้าที่ลิงก์นั้นพาไป
Meta Description ที่น่าสนใจและชวนให้คลิก สามารถช่วยเพิ่มยอดคนเข้าเว็บไซต์ได้มากขึ้น Google อธิบายว่า “Meta Description เหมือนกับการพรีเซนต์ที่โน้มน้าวผู้ใช้ว่า หน้านี้คือสิ่งที่พวกเขากำลังมองหาอยู่”
ถ้า Meta Description ของคุณไม่ดึงดูดใจให้คลิก อาจส่งผลกระทบต่ออันดับการค้นหาแบบออร์แกนิกได้ และควรจำไว้ว่าความยาวของ Meta Description อาจถูกตัดทอนให้พอดีกับอุปกรณ์ที่ใช้ค้นหา
วิธีเขียน Meta Description ที่มีคุณภาพสูง
- สรุปเนื้อหาของหน้าลิงก์นั้นอย่างกระชับ
- ความยาวไม่เกิน 145 ตัวอักษร
- เขียนให้แตกต่างและไม่ซ้ำกันในแต่ละหน้า
- ใช้รูปแบบประโยคปกติ ไม่ต้องขึ้นต้นทุกคำด้วยตัวใหญ่
- ใส่ข้อมูลที่น่าสนใจและชวนให้คลิก
- ใส่คีย์เวิร์ดเป้าหมายของหน้านั้นลงไปด้วย
3. ให้ความสำคัญกับการสร้างแบ็คลิงก์
ความสามารถในการเพิ่ม Traffic ให้เว็บ: 👤👤👤👤
ค่าใช้จ่าย: 💰
ระยะเวลาเห็นผลลัพธ์: สัปดาห์
ระดับความพยายาม: สูง
หนึ่งในปัจจัยสำคัญที่ส่งผลต่ออันดับการค้นหาของ Google คือ ความน่าเชื่อถือ หรือ Authoritativeness โดยพื้นฐานแล้ว Google ต้องการให้เว็บไซต์ที่มีชื่อเสียงดีและเนื้อหาที่น่าเชื่อถือขึ้นไปอยู่ในอันดับต้นๆ ของผลการค้นหา แล้วเราจะทำอย่างไรให้ Google มองว่าเว็บไซต์ของเรามีความน่าเชื่อถือล่ะ
กลยุทธ์หนึ่งคือการสร้างแบ็กลิงก์ (backlinks) ซึ่งหมายถึงการที่เว็บไซต์อื่นๆ ที่มีชื่อเสียงและเกี่ยวข้องส่งลิงก์กลับมาหาเว็บไซต์ของคุณ การได้รับแบ็คลิงก์จากเว็บไซต์ที่มีคุณภาพสูงและเกี่ยวข้องจะส่งสัญญาณไปยัง Google ว่าเว็บไซต์ของคุณมีเนื้อหาที่น่าเชื่อถือและควรได้รับการจัดอันดับสูงขึ้น ยิ่งได้แบ็กลิงก์จากแหล่งที่เชื่อถือได้มากเท่าไร เว็บไซต์ของคุณก็จะยิ่งถูกมองว่าเป็นเว็บไซต์ที่มีความน่าเชื่อถือมากขึ้น นอกจากนี้ กลยุทธ์นี้ยังช่วยผสาน SEO กับการเพิ่มอัตราการเปลี่ยนแปลง (CRO) ให้มีประสิทธิภาพมากขึ้นอีกด้วย
มาดูไอเดียสำหรับการสร้างแบ็คลิงก์ที่จะช่วยเพิ่มความน่าเชื่อถือให้เว็บไซต์ของคุณและเพิ่ม Traffic กัน
- เขียนบทความลงบล็อกอื่น ๆ แชร์ความรู้กับกลุ่มผู้อ่านใหม่ ๆ และแทรกลิงก์กลับมายังบล็อกของคุณเมื่อเหมาะสม
- รวบรวมความคิดเห็นจากผู้เชี่ยวชาญ รวบรวมคำแนะนำจากผู้เชี่ยวชาญในวงการ แจ้งให้พวกเขารู้เมื่อคุณโพสต์บทความบนบล็อกของคุณ และกระตุ้นให้ผู้เชี่ยวชาญเหล่านั้นช่วยแชร์โพสต์ของคุณในเครือข่ายของพวกเขา
- ขอรีวิวสินค้า เสนอสินค้าฟรีให้กับบล็อกเกอร์ที่มีกลุ่มผู้ติดตามตรงเป้าหมาย เพื่อแลกกับรีวิวจริงใจที่แทรกลิงก์กลับมายังเว็บไซต์ของคุณ
- เริ่มโปรแกรมแอฟฟิลิเอต สร้างแรงจูงใจให้คนอื่นช่วยเพิ่ม Traffic ให้เว็บไซต์ของคุณด้วยโปรแกรมแอฟฟิลิเอตพร้อมจ่ายค่านายหน้าเมื่อขายได้
- หากิจกรรมประชาสัมพันธ์ หากคุณมีเรื่องราวดี ๆ หรือสินค้าน่าสนใจที่คนอยากเขียนถึง ติดต่อกับนักข่าวที่รายงานธุรกิจในสายงานเดียวกันและเล่าให้พวกเขาฟังถึงสิ่งที่คุณทำอยู่
4. เพิ่มลิงก์ภายในจากและไปยังหน้าสำคัญ ๆ
ความสามารถในการเพิ่ม Traffic ให้เว็บ: 👤👤👤
ค่าใช้จ่าย: 💰
ระยะเวลาเห็นผลลัพธ์: สัปดาห์
ระดับความพยายาม: สูง
เหมือนกับการสร้างแบ็กลิงก์ อีกหนึ่งกลยุทธ์ SEO ที่สำคัญคือการทำลิงก์ภายใน คือการเชื่อมโยงหน้าต่าง ๆ ในเว็บไซต์ของคุณเข้าหากัน วิธีนี้ช่วยสร้างโครงสร้างให้เว็บไซต์ ทำให้ง่ายต่อการนำทางของผู้ใช้และช่วยให้ Google เข้าใจความสัมพันธ์ระหว่างหน้าต่าง ๆ ได้ดีขึ้น
การลิงก์ภายในยังช่วยกระจายค่า PageRank ซึ่งเป็นวิธีที่ Google ใช้วัดความสำคัญของแต่ละหน้าเว็บ หน้าที่มีลิงก์มากมายชี้ไปหามักจะมี PageRank สูงเหมือนกับแบ็กลิงก์จากเว็บไซต์ที่มีความน่าเชื่อถือสูง
เมื่อคุณลิงก์จากหน้าที่มี PageRank สูงไปยังหน้าอื่น ๆ คุณจะส่งต่อความน่าเชื่อถือนั้นไปยังหน้าปลายทาง ทำให้หน้านั้นมีโอกาสติดอันดับดีขึ้นในผลการค้นหา และเมื่อคุณลิงก์กลับจากหน้าที่มีความสำคัญน้อยไปยังหน้าหลัก ก็ช่วยเสริมความสำคัญของหน้าหลักต่อ Google ได้อีกด้วย
วิธีที่คุณสามารถทำได้เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพลิงก์ภายในเว็บไซต์ของคุณ
- ปรับแต่งโครงสร้างเว็บไซต์ของคุณ
- ค้นหาและส่งแผนผังเว็บไซต์ของคุณไปยัง Google Search Console
- เพิ่มลิงก์นำทางไปยังหมวดหมู่ผลิตภัณฑ์ของคุณเพื่อสร้างลิงก์ภายในทันที
- จัดทำรายการหน้าที่มีความสำคัญสูงที่คุณต้องการให้อันดับดีขึ้น
- ระบุหน้าที่ในเว็บไซต์ของคุณซึ่งมีความน่าเชื่อถือและ PageRank สูงที่สุดในปัจจุบัน
- เพิ่มลิงก์จากหน้าที่มีความน่าเชื่อถือสูงไปยังหน้าที่เป็นเป้าหมาย
- ใส่ลิงก์อย่างเป็นธรรมชาติ โดยใช้ข้อความ Anchor text ที่เกี่ยวข้องกับคีย์เวิร์ดที่คุณต้องการให้หน้าปลายทางติดอันดับ
5. เพิ่มความหลากหลายของคำค้นแบบยาว
ความสามารถในการเพิ่ม Traffic ให้เว็บ: 👤👤👤👤👤
ค่าใช้จ่าย: 💰
ระยะเวลาเห็นผลลัพธ์: สัปดาห์ระดับ
ความพยายาม: ปานกลาง
ขั้นตอนถัดไปในรายการตรวจสอบ SEO สำหรับเว็บไซต์ของคุณคือการสร้างกลยุทธ์คีย์เวิร์ด เพราะคีย์เวิร์ดที่สั้นและมีปริมาณการค้นหาสูงมักจะง่ายต่อการระบุ ทำให้หลายคนอยากจะใช้คำค้นหาแบบสั้นที่มีปริมาณมาก แต่โดยรวมแล้วโดเมนของคุณต้องแข็งแกร่งจริง ๆ ถึงจะมีโอกาสผ่านเกณฑ์สำหรับคีย์เวิร์ดเหล่านั้นได้ ในระหว่างนี้ คุณจะโชคดีกว่ามากถ้าเลือกใช้คีย์เวิร์ดที่มีปริมาณการค้นหาต่ำกว่า ซึ่งหมายความว่าคู่แข่งก็น้อยกว่าด้วย
คีย์เวิร์ดยาวหรือ Long-tail keywords ซึ่งเป็นคำค้นหาที่ละเอียดและเฉพาะเจาะจงมากขึ้น จะง่ายต่อการจัดอันดับในผลการค้นหา และมักจะมีอัตราการคลิกสูงกว่าคำสั้น ๆ ทั่วไป เพราะคีย์เวิร์ดยาวมักจะตรงกับตลาดเฉพาะกลุ่มหรือเจตนาของผู้ค้นหา กล่าวคือ คนที่ค้นหาด้วยคำเหล่านี้รู้ว่าตัวเองกำลังมองหาอะไร และถ้าคุณสามารถตอบโจทย์เจตนาของเขาได้ จะช่วยเพิ่ม Traffic ให้กับเว็บไซต์ของคุณได้อย่างดี
ลองนึกภาพว่าคุณมีร้านค้าออนไลน์ขายรองเท้าวิ่ง และอยากปรับแต่งหน้าเว็บเพื่อเพิ่ม Traffic แทนที่จะใช้คำกว้าง ๆ อย่าง “รองเท้าวิ่ง” ที่มีการแข่งขันสูง คุณสามารถเลือกใช้คีย์เวิร์ดยาวที่มีความเฉพาะเจาะจงมากขึ้นซึ่งคนกำลังค้นหาอยู่ได้
ตัวอย่างเช่น การวิเคราะห์คีย์เวิร์ดของคุณอาจพบว่าคนกำลังค้นหาคำว่า “รองเท้าวิ่งที่ดีที่สุดสำหรับคนเท้าแบน” หรือ “รองเท้าวิ่งสำหรับฝึกซ้อมมาราธอน” เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพให้หน้าสินค้า คุณสามารถใส่ประโยคเหล่านี้ลงในคำอธิบายสินค้า และถ้าต้องการทำให้หน้านั้นมีความแข่งขันมากขึ้น คุณอาจสร้างบทความบล็อกหรือหน้าแลนดิ้งเพจที่ช่วยให้ลูกค้าเลือกซื้อรองเท้าวิ่งตามความต้องการเฉพาะของพวกเขาได้ด้วย
6. สร้างความโดดเด่นด้วย Rich Snippets
ความสามารถในการเพิ่ม Traffic ให้เว็บ: 👤👤👤👤
ค่าใช้จ่าย: 💰💰
ระยะเวลาเห็นผลลัพธ์: สัปดาห์
ระดับความพยายาม: สูง
Rich snippets คือผลการค้นหาที่มีข้อมูลเสริมเพิ่มเติม เช่น คะแนนรีวิว ราคาสินค้า รูปภาพ และสถานะสินค้าที่มีอยู่ รายละเอียดเหล่านี้ช่วยให้ลิงก์ของคุณดูน่าสนใจและดึงดูดให้คนคลิกมากขึ้น
การสร้าง Rich snippets นั้น คุณจำเป็นต้องใช้ข้อมูลที่มีโครงสร้าง ซึ่งเปรียบเสมือนโค้ดพิเศษที่ช่วยให้ Google เข้าใจรายละเอียดเฉพาะของหน้าของคุณ เช่น ข้อความนั้นคือราคาสินค้า หรือดาวคะแนนคือรีวิวจากลูกค้า
คุณสามารถตรวจสอบและจัดการ structured data ด้วยเครื่องมืออย่าง Google Structured Data Testing Tool ที่ช่วยตรวจสอบและแก้ไขปัญหาเกี่ยวกับมาร์กอัปบนเว็บไซต์ของคุณ
7. ให้ความสำคัญกับ SEO ท้องถิ่น
ความสามารถในการเพิ่ม Traffic ให้เว็บ: 👤👤👤
ค่าใช้จ่าย: 💰
ระยะเวลาเห็นผลลัพธ์: สัปดาห์
ระดับความพยายาม: ต่ำ
สิ่งสำคัญในการวางแผนเพิ่ม Traffic คือการมั่นใจว่าคุณกำลังเพิ่ม Traffic ที่ถูกกลุ่มเป้าหมายของเว็บไซต์คุณจริง ๆ ถ้าคุณเป็นธุรกิจที่มีหน้าร้านจริง การที่ Traffic ที่เข้ามาจะต้องมาจากพื้นที่ทางภูมิศาสตร์เฉพาะ หรือในพื้นที่ใกล้เคียงนั้นจึงเป็นเรื่องสำคัญ
SEO ที่มีกลุ่มเป้าหมายในพื้นที่ใกล้เคียงจะช่วยคุณทำสองอย่างในคราวเดียว คือการเน้นกลุ่มเป้าหมายที่ใช่ และช่วยให้ติดอันดับได้ง่ายขึ้นบนหน้าผลลัพธ์การค้นหา เช่น คุณจะมีโอกาสติดอันดับได้ง่ายกว่าหากใช้คำค้นหาเฉพาะเจาะจงแบบ “ร้านรองเท้าบัลเลต์ย่านสุขุมวิท” มากกว่าคำค้นหาทั่วไปอย่าง “รองเท้าบัลเลต์”
สิ่งที่ควรใส่ใจเมื่อต้องวางแผนกลยุทธ์ SEO ท้องถิ่นของคุณ
- สร้างโปรไฟล์ Google Business: เดิมเรียกว่า Google My Business เป็นเครื่องมือฟรีที่ช่วยให้ธุรกิจของคุณปรากฏบนแผนที่ ลูกค้าสามารถค้นหาธุรกิจของคุณบน Google Maps ได้ และยังช่วยให้ Google เชื่อมโยงข้อมูลธุรกิจกับคำค้นหาท้องถิ่น เช่น “รองเท้าบัลเลต์ใกล้ฉัน”
- รักษาความสม่ำเสมอของชื่อ ที่อยู่ และเบอร์โทรศัพท์ (NAP): Google จะตรวจสอบข้อมูล NAP ที่ตรงกันทั้งในเว็บไซต์ โปรไฟล์ Google Business และไดเรกทอรีออนไลน์ต่าง ๆ เพื่อยืนยันความน่าเชื่อถือของธุรกิจ ข้อมูลที่ไม่ตรงกันอาจทำให้เครื่องมือค้นหาสับสนและส่งผลเสียต่ออันดับการค้นหาในพื้นที่
- ปรับกลยุทธ์คีย์เวิร์ดให้เหมาะกับพื้นที่ของคุณ: ใช้คำค้นหาที่มีชื่อเมือง เขต หรือภูมิภาค เพื่อดึงดูดลูกค้าในบริเวณใกล้เคียงและเพิ่มโอกาสในการติดอันดับสูงขึ้นในการค้นหาท้องถิ่น
การตลาดคอนเทนต์
การใช้เนื้อหาและการโปรโมทอย่างมีเป้าหมายช่วยเพิ่ม Traffic ที่ตรงกลุ่มให้กับร้านค้าออนไลน์ของคุณ ทำให้มีโอกาสที่ผู้เข้าชมจะเปลี่ยนเป็นลูกค้ามากขึ้น ตั้งแต่คลิปวิดีโอ พอดแคสต์ ไปจนถึงไกด์และอีบุ๊ก ธุรกิจของคุณมีโอกาสมากมายที่จะขยายสู่โลกของเนื้อหาเพื่อเพิ่ม Traffic
การตลาดคอนเทนต์เป็นกระบวนการสร้างเนื้อหาที่น่าสนใจ ให้ข้อมูล และดึงดูดใจ เพื่อดึงดูด Traffic อย่างเป็นธรรมชาติสู่เว็บไซต์ของคุณ ด้วยเนื้อหาต้นฉบับ คุณจะสามารถเชื่อมต่อกับกลุ่มเป้าหมาย สร้างความน่าเชื่อถือ และเพิ่มอำนาจของแบรนด์ ยิ่งเนื้อหาของคุณมีประโยชน์และเกี่ยวข้องมากเท่าไร Traffic ก็จะยิ่งเพิ่มขึ้นตามเวลา
กลยุทธ์การตลาดเนื้อหาของคุณไม่ควรพูดถึงแค่สินค้าของคุณเท่านั้น เพราะจะทำให้คุณและกลุ่มเป้าหมายรู้สึกเบื่ออย่างรวดเร็ว ให้คิดถึงหัวข้อหรือแหล่งข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจ ซึ่งลูกค้าของคุณจะเห็นว่ามีประโยชน์ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ควรเน้นหัวข้อที่คุณเป็นผู้เชี่ยวชาญ เพราะจะช่วยเพิ่มความน่าเชื่อถือทั้งกับผู้อ่านและ Google
ต่อไปเราจะพูดถึงไอเดียบางอย่างที่จะช่วยให้คุณสร้างกลยุทธ์การตลาดเนื้อหาที่แข็งแกร่ง ซึ่งจะทำให้คุณได้คลิกและ Traffic อย่างรวดเร็ว
8. เขียนบล็อก
ความสามารถในการเพิ่ม Traffic ให้เว็บ: 👤👤👤👤👤
ค่าใช้จ่าย: 💰
ระยะเวลาเห็นผลลัพธ์: เดือน
ระดับความพยายาม: ปานกลาง
เมื่อต้องทำการตลาดคอนเทนต์ บล็อกเป็นวิธีที่ดีมากในการสร้างลิงก์ภายในเว็บไซต์ ดึงดูดแบ็กลิงก์ และสร้างความน่าเชื่อถือให้กับธุรกิจทั้งต่อลูกค้าที่อาจมาเยือนและกับเสิร์ชเอนจิน
แม้ว่าจะมีโอกาสมากมายในการเข้าถึงผู้ชมผ่านการเขียนบล็อก แต่คุณต้องมีจุดประสงค์ชัดเจนกับเนื้อหาเพื่อดึงดูดผู้เข้าชมที่เกี่ยวข้อง โดยส่วนใหญ่ นโยบายการเขียนที่ดีที่สุดคือการสร้างเนื้อหาที่ถูกปรับแต่งสำหรับการค้นหา (SEO) ตอบคำถามและแก้ปัญหาที่สำคัญสำหรับกลุ่มเป้าหมายของคุณ การหาหัวข้อที่เหมาะสมต้องอาศัยการสร้างบุคลิกผู้ชม การวิจัยคำค้นหา และการวิเคราะห์ช่องว่างของเนื้อหา
ในการเลือกหัวข้อที่จะเขียน ให้พิจารณาว่ากลุ่มเป้าหมายของคุณจะได้ประโยชน์จากการอ่านอะไร และทำไมธุรกิจของคุณถึงเป็นแหล่งข้อมูลที่เหมาะสม การมีผู้เชี่ยวชาญหรืออินฟลูเอ็นเซอร์มาเป็นส่วนหนึ่งของบทความก็ช่วยเพิ่ม Traffic ได้ดีเพราะพวกเขาอาจแชร์บทความให้ผู้ติดตาม ทำให้บล็อกของคุณเข้าถึงคนได้มากขึ้น
9. ทำพ็อดแคสต์
ความสามารถในการเพิ่ม Traffic ให้เว็บ: 👤👤👤👤👤
ค่าใช้จ่าย: 💰
ระยะเวลาเห็นผลลัพธ์: เดือน
ระดับความพยายาม: สูง
การทำพอดแคสต์ก็เหมือนกับการเขียนบล็อกตรงที่ช่วยให้คุณเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายเฉพาะกลุ่มได้ สิ่งที่ทำให้พอดแคสต์มีประสิทธิภาพในการเพิ่ม Traffic คือความสามารถในการสร้างความไว้วางใจและความเชื่อมโยงกับผู้ฟังในระยะยาว ผู้ฟังที่ติดตามพอดแคสต์เป็นประจำมีแนวโน้มจะเชื่อคำแนะนำของคุณและเข้าเว็บไซต์เพื่อหาข้อมูลเพิ่มเติมหรือลองดูสินค้าที่คุณพูดถึง
อย่างไรก็ตาม พ็อดแคสต์ต่างจากบล็อกหรือโพสต์บนโซเชียลมีเดีย พอดแคสต์ไม่มีปุ่ม Call to Action ที่ชัดเจนในการเปลี่ยนผู้ฟังให้กลายเป็นผู้เข้าเว็บไซต์ คุณจึงต้องหาวิธีเชื่อมโยงให้ผู้ฟังเข้าถึงเว็บไซต์ของคุณได้ง่ายขึ้น Shuang Esther Shan ซึ่งเป็นผู้ดูแลพอดแคสต์ Shopify Masters แนะนำวิธีเพิ่ม Traffic จากพอดแคสต์ไว้ 3 วิธี
เคล็ดลับจาก Shuang ในการเพิ่ม Traffic เข้าเว็บไซต์ผ่านพอดแคสต์ มีดังนี้
- เผยแพร่บทถอดเสียงและสรุปเนื้อหาของแต่ละตอนเป็นบล็อกโพสต์ เพื่อให้เข้าถึงผู้ฟังที่หูหนวกหรือมีปัญหาทางการได้ยินได้ง่ายขึ้น
- เขียนสรุปเนื้อหาแต่ละตอนไว้ในโน้ตประกอบรายการ พร้อมแนบลิงก์ไปยังบล็อกโพสต์ของตอนนั้น
- รวมรายการแหล่งข้อมูลที่มีประโยชน์ซึ่งพูดถึงในตอนนั้น โดยให้ความสำคัญกับสินค้าหรือเครื่องมือที่มีอยู่บนเว็บไซต์ของคุณ แล้วใส่ลิงก์ไว้ในโน้ตประกอบรายการ ด้วย
10. ทำวิดีโอ
ความสามารถในการเพิ่ม Traffic ให้เว็บ: 👤👤👤👤👤
ค่าใช้จ่าย: 💰💰
ระยะเวลาเห็นผลลัพธ์: เดือน
ระดับความพยายาม: สูง
YouTube เป็นเสิร์ชเอนจินที่ใหญ่เป็นอันดับสองของโลก ซึ่งเปิดโอกาสให้คุณเข้าถึงกลุ่มผู้ชมขนาดใหญ่ที่กำลังค้นหาคำตอบ ความบันเทิง และข้อมูลอยู่ตลอดเวลา โดย YouTube มีผู้ใช้งานมากกว่า 2.7 พันล้านคน และสามารถเข้าถึงกลุ่มคนอายุ 18 ถึง 49 ปีได้มากกว่าช่องเคเบิลทีวีทั้งหมดในสหรัฐฯ รวมกัน
การสร้างช่อง YouTube จะช่วยให้คุณสื่อสารกับผู้ชมผ่านการเล่าเรื่องในรูปแบบวิดีโอ ซึ่งมีพลังในการดึงดูดความสนใจได้ดีกว่าคอนเทนต์ประเภทอื่น ช่วยให้คุณถ่ายทอดข้อความได้ชัดเจนขึ้นและสร้างความสัมพันธ์กับกลุ่มเป้าหมายได้ลึกซึ้งยิ่งขึ้น
หากต้องการให้การทำการตลาดผ่าน YouTube ประสบความสำเร็จ ควรโฟกัสที่คอนเทนต์ที่สอดคล้องกับแบรนด์และความสนใจของผู้ชมของคุณ มาดูวิดีโอ 3 ประเภทที่คุณสามารถทำเพื่อดึงดูดผู้ชมที่เหมาะสมและเพิ่ม Traffic เข้าเว็บไซต์ของคุณกัน
- คอนเทนต์แบบให้ความรู้: สอนทักษะใหม่ ๆ เพื่อสร้างความน่าเชื่อถือกับกลุ่มเป้าหมายของคุณ และถ้าเป็นไปได้ ให้ใช้สินค้าของคุณเป็นศูนย์กลางในการแก้ปัญหาเหล่านั้น Webinar เชิงให้ความรู้ก็เป็นอีกทางที่ดีในการโชว์ฟีเจอร์ของสินค้าและปัญหาที่สินค้าสามารถแก้ไขได้
- การเล่าเรื่อง: ถ่ายทอดภาพลักษณ์และคุณค่าของแบรนด์ไปยังผู้ชมกลุ่มกว้างขึ้น ผ่านวิดีโอที่สร้างแรงบันดาลใจ ควรให้เนื้อหาสอดคล้องกับอัตลักษณ์ของธุรกิจและไลฟ์สไตล์ของผู้ชมของคุณ
- ความบันเทิง: ดึงดูดความสนใจของผู้ชมแล้วพาเข้าสู่สินค้าอย่างแนบเนียนผ่านวิดีโอที่สนุก น่าสนใจ และเกี่ยวข้องกับความสนใจของกลุ่มเป้าหมาย โดยอาจสอดแทรกอารมณ์ขันที่เข้ากับตลาดของคุณ
11. ลงทุนกับการตลาดผ่านอีเมล
ความสามารถในการเพิ่ม Traffic ให้เว็บ: 👤👤
ค่าใช้จ่าย: 💰
ระยะเวลาเห็นผลลัพธ์: เดือน
ระดับความพยายาม: ต่ำ
ไม่ว่าจะเป็นแคมเปญโปรโมชันหรือจดหมายข่าวที่ส่งเป็นประจำ การทำการตลาดผ่านอีเมลถือเป็นวิธีที่ไว้ใจได้ในการเพิ่ม Traffic ไปยังเว็บไซต์ของคุณและสร้างฐานลูกค้าที่ภักดี หากวางกลยุทธ์ให้ดี อีเมลสามารถทำได้มากกว่าการเพิ่มยอดผู้เข้าชม เพราะมันช่วยสร้างความสัมพันธ์ระยะยาวกับลูกค้า ด้วยการส่งมอบคุณค่าและทำให้พวกเขามีส่วนร่วมกับแบรนด์อยู่เสมอ
ที่ดียิ่งกว่านั้นคือ อีเมลมาร์เก็ตติ้งคุ้มค่ามาก ด้วยผลตอบแทนเฉลี่ยประมาณ 1 ดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อ 36 ดอลลาร์สหรัฐฯ ที่ได้กลับมา หรือประมาณ 1 บาทแลกกับผลตอบแทนราว 1,260 บาท ถือเป็นการลงทุนที่ให้ผลตอบแทนสูงมากในต้นทุนที่ต่ำ และข้อดีที่สุดคือ มันไม่จำเป็นต้องซับซ้อน เพียงแค่ส่งข้อความที่เป็นส่วนตัวและตรงเวลา เช่น อัปเดตสินค้า ข้อเสนอพิเศษ หรือเนื้อหาให้ความรู้ ก็สามารถทำให้ลูกค้านึกถึงแบรนด์ของคุณและอยากกลับมาที่เว็บไซต์อีกครั้งได้แล้ว
การมีส่วนร่วมในโซเชียลมีเดียแบบออร์แกนิก
การเพิ่ม Traffic จากโซเชียลมีเดียต้องใช้มากกว่าการโพสต์โฆษณาเว็บไซต์ของคุณ ไม่ว่าคุณจะใช้โฆษณาแบบเสียเงินหรือไม่ (เดี๋ยวจะพูดถึงในหัวข้อต่อไป) สิ่งสำคัญคือ คุณต้องสร้างฐานผู้ติดตามที่มีส่วนร่วมแบบออร์แกนิกบนแพลตฟอร์มโซเชียลที่เหมาะกับแบรนด์ของคุณมากที่สุด
คุณสามารถเพิ่มการมีส่วนร่วมบนโซเชียลได้ด้วยหลายวิธี เช่น
- พูดคุยและกระตุ้นบทสนทนากับกลุ่มเป้าหมาย
- ตอบคำถามหรือเข้าร่วมบทสนทนาเกี่ยวกับแบรนด์ สินค้า หรืออุตสาหกรรมของคุณด้วยความใส่ใจ
- ขับเคลื่อนความกระตือรือร้นและความผูกพันผ่านกลยุทธ์การสร้างคอมมูนิตี้
ต่อไปเราจะยกตัวอย่างบางวิธีในการสร้างตัวตนบนโซเชียลมีเดียแบบออร์แกนิกให้แข็งแรง
12. ให้เพื่อนและครอบครัวช่วยแชร์
ความสามารถในการเพิ่ม Traffic ให้เว็บ: 👤👤
ค่าใช้จ่าย: 💰
ระยะเวลาเห็นผลลัพธ์: สัปดาห์
ระดับความพยายาม: ปานกลาง
ตอนที่คุณเริ่มต้นทำธุรกิจ การขอความช่วยเหลือจากเพื่อนและครอบครัวถือเป็นวิธีที่ดีในการสร้างการรับรู้เบื้องต้น เพิ่ม Traffic หรืออาจได้ยอดขายแรกของคุณเลยก็ได้ (ขอบคุณครับแม่!)
ลองดูตัวอย่างจากเว็บไซต์คอนเทนต์ Upworthy ที่สร้าง Traffic แรกจากการขอให้เพื่อนและครอบครัวช่วยแชร์ โดยตั้งเป้าว่าจะให้ได้แฟนเพจบน Facebook 1,000 คนภายในวันเปิดตัว ซึ่งก็ทำสำเร็จ และกลายเป็นแรงส่งสำคัญ
ลองติดต่อเพื่อน ครอบครัว หรือคนรู้จักแบบเจาะจงมากขึ้น เช่น มีช่องทางคุยกับญาติพี่น้อง เพื่อนร่วมงาน หรือคนในชุมชนไหม ส่งข้อความไปเล่าให้พวกเขารู้เกี่ยวกับร้านใหม่ของคุณ ส่วนในโซเชียลมีเดียก็อัปเดตเรื่องราวการเริ่มต้นของธุรกิจคุณ
เมื่อคุณมีความสนใจจากคนใกล้ตัวแล้ว อย่าลืมขอให้พวกเขาช่วยแชร์เว็บไซต์ของคุณต่อไปยังเครือข่ายของเขาด้วย เพราะการกระจายแบบลูกโซ่ลักษณะนี้คือหัวใจสำคัญของการตลาดแบบปากต่อปาก
13. มีส่วนร่วมอย่างกระตือรือร้นใน Instagram
ความสามารถในการเพิ่ม Traffic ให้เว็บ: 👤👤
ค่าใช้จ่าย: 💰
ระยะเวลาเห็นผลลัพธ์: สัปดาห์
ระดับความพยายาม: ปานกลาง
คุณไม่จำเป็นต้องเริ่มขายสินค้าหรือเผยแพร่เนื้อหาก่อนที่จะมีปฏิสัมพันธ์กับผู้คนบน Instagram จริง ๆ แล้ว การสร้างฐานผู้ติดตามที่มีส่วนร่วมก่อนเริ่มขาย จะช่วยให้คุณมีผู้ชมที่สนใจแบรนด์ของคุณอยู่แล้วในช่วงเวลาที่เปิดตัว ร้านเบเกอรี่ Blackbird Baking Company ในโตรอนโต สร้างฐานแฟนคลับผู้รักขนมปังอย่างแท้จริงบน Instagram ก่อนที่จะเปิดร้านจริง ซึ่งช่วยให้พวกเขาได้รับการตอบรับที่ดีเมื่อเปิดประตูร้านครั้งแรก
Blackbird Baking Company ใช้ขั้นตอนเบื้องต้นเหล่านี้เป็นกลยุทธ์การตลาดโซเชียลมีเดีย เพื่อสร้างผู้ชม
- ร้านเบเกอรี่นี้ได้สร้างการติดตามกลับโดยการติดตามคนที่พวกเขาคาดว่าอาจสนใจร้านเบเกอรี่มือใหม่ ซึ่งรวมถึงเจ้าของร้านอาหารและผู้ที่รักขนมปังในโตรอนโต คุณก็สามารถหาคนที่สนใจในสายงานหรือกลุ่มเป้าหมายของคุณได้ด้วยการค้นหาคำหลักที่เกี่ยวข้องในประวัติและโปรไฟล์บนแพลตฟอร์มโซเชียลที่คุณกำลังสร้างตัวตนออนไลน์อยู่
- Blackbird โพสต์ภาพขนมปังในทุกขั้นตอนของกระบวนการ ทำให้เห็นเบื้องหลังของธุรกิจโดยเน้นที่ผลิตภัณฑ์หลักของร้าน พวกเขาใส่ใจให้ภาพขนมปังที่กำลังอบและส่งถึงร้านดูน่ากินและน่าที่จะแชร์ต่อ
- พวกเขามีการมีส่วนร่วมกับผู้ติดตามอย่างตั้งใจเพื่อพูดคุยเรื่องราวของชุมชนท้องถิ่น หัวข้อที่พูดถึงได้แก่ ชีวิตในโตรอนโต อาหารอร่อย และแน่นอน ขนมปัง
ด้วยเทคนิคการตลาดบน Instagram เหล่านั้น ตอนที่ร้านเบเกอรีเปิดอย่างเป็นทางการ ก็มีคนสนใจรอซื้อสินค้าอย่างมาก
นี่คือวิธีที่คุณจะสร้างการมีส่วนร่วมกับผู้ติดตามแบรนด์ของคุณบน Instagram
- เมื่อคุณเริ่มสร้างกลุ่มผู้ติดตามแล้ว ให้มองหาโอกาสที่จะช่วยเหลือ หรือเพิ่มคุณค่าให้กับการสนทนาของคนอื่นในแบบที่เชื่อมต่อกันในระดับมนุษย์ และไม่มีการขายตรง
- ใช้ Instagram Reels เพื่อโปรโมตข้อเสนอพิเศษที่มีให้เฉพาะกับผู้ติดตามบนแพลตฟอร์มนี้เท่านั้น หากพวกเขาติดต่อคุณผ่านทางนั้น
- ใช้เวลาในการมีส่วนร่วมกับผู้ที่พูดคุยเกี่ยวกับแบรนด์ของคุณ Instagram เป็นสถานที่ที่ดีในการตอบคำถามและมีส่วนร่วมอย่างกระตือรือร้นกับชุมชนของคุณ
14. มีส่วนร่วมใน Reddit
ความสามารถในการเพิ่ม Traffic ให้เว็บ: 👤👤
ค่าใช้จ่าย: 💰
ระยะเวลาเห็นผลลัพธ์: สัปดาห์
ระดับความพยายาม: ปานกลาง
Reddit เป็นโอกาสที่น่าสนใจในการสร้างการรับรู้แบรนด์และเพิ่ม Traffic ให้เว็บไซต์ มันเป็นพื้นที่ที่คนที่มีความสนใจเดียวกันมารวมตัวกันพูดคุยเรื่องโปรด แชร์คำแนะนำ วิธีที่ดีที่สุด และเรื่องราวส่วนตัว Reddit มีฟอรัมเฉพาะกลุ่มย่อยจำนวนมากที่เรียกว่า subreddit คุณสามารถหาชุมชนในแทบทุกหัวข้อ เช่น /r/bicycling, /r/scifi, หรือ /r/corgi
ถ้าธุรกิจของคุณขายผลิตภัณฑ์ดูแลเส้นผม คุณสามารถใช้ Reddit ได้โดยเข้าไปที่ subreddit หลายกลุ่ม เช่น /r/femalehairadvice ที่มีการพูดคุยเรื่องการดูแลเส้นผมของผู้หญิงในทุกแง่มุม นอกจากนี้ยังมี subreddit อื่น ๆ เช่น /r/haircarescience, /r/curlyhair หรือ /r/hair
เพื่อโปรโมตธุรกิจและเพิ่ม Traffic ให้เว็บไซต์ของคุณ ให้สร้างโพสต์ใหม่ใน subreddit ที่เกี่ยวข้องกับแบรนด์ของคุณ โดยโพสต์ควรสั้น กระชับ แต่มีรายละเอียดชัดเจน พร้อมตัวอย่างที่จับต้องได้เพื่อดึงดูดความสนใจของผู้อ่าน
ส่วนประกอบของโพสต์ Reddit ที่ดีมีดังนี้
- หัวข้อที่ดึงดูดใจ: ทำให้มันเกี่ยวข้องกับ subreddit ตัวอย่างเช่น เมื่อโพสต์ใน subreddit ขนมปังหยิก คุณอาจลองใช้หัวข้อว่า “ใครว่าผมสั้นจะดูดีไม่ได้”
- เพิ่มคุณค่าและกระชับ: ข้อความในเนื้อหาหลักของโพสต์ควรมีความกระชับ ดึงดูดใจ แต่ไม่ขายเกินไป นอกจากนี้ ให้พิจารณาหัวข้อ TL;DR (“ยาวไป ไม่อ่าน”) ที่ให้ผู้เข้าชมสรุปอย่างรวดเร็วเกี่ยวกับเนื้อหาของโพสต์ของคุณ
- ใส่ภาพ: การใส่รูปช่วยสื่อสารข้อความและดึงดูดความสนใจผู้อ่านได้ง่ายขึ้น
- ลิงก์ไปยังร้านของคุณ: อย่าลืมใส่ลิงก์ไปยังสินค้าที่เกี่ยวข้องที่สุด เพื่อให้คนที่สนใจสามารถเข้าไปดูข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับแบรนด์และสินค้าในร้านออนไลน์ของคุณได้
ให้ระวังแนวทางการใช้งานของ Reddit และมารยาทที่เรียกว่า Reddiquette บาง subreddit อาจไม่อนุญาตให้โพสต์เนื้อหาที่เป็นการโปรโมต หากคุณโพสต์เกี่ยวกับเว็บไซต์ของคุณในกระทู้ที่ไม่ต้องการ อาจทำให้ไม่มีใครกดอัปโหวตลิงก์ของคุณ และอาจถูกแบนจาก subreddit นั้นได้
นอกจากการโปรโมตร้านใน subreddit ที่เกี่ยวข้องแล้ว คุณยังสามารถเข้าไปในกระทู้เช่น /r/entrepreneur หรือ /r/smallbusiness เพื่อขอคำแนะนำด้านธุรกิจ จากความรู้และประสบการณ์ของสมาชิกนับล้านคนในหลายอุตสาหกรรม
15. สร้างความตื่นเต้นด้วยโปรโมชั่นออนไลน์
ความสามารถในการเพิ่ม Traffic ให้เว็บ: 👤👤👤👤
ค่าใช้จ่าย: 💰💰💰
ระยะเวลาเห็นผลลัพธ์: ภายในไม่กี่วัน
ระดับความพยายาม: สูง
การจัดกิจกรรมประกวดและแจกของรางวัลเป็นวิธีที่ยอดเยี่ยมในการเพิ่มผู้ติดตามบน Instagram เพิ่มการมีส่วนร่วมในโซเชียลมีเดีย และเพิ่ม Traffic ให้กับเว็บไซต์ของคุณ ด้วยกิจกรรมประกวด แจกของรางวัล และลุ้นโชคแบบไวรัล คุณสามารถเพิ่ม Traffic ให้เว็บไซต์ได้อย่างรวดเร็วโดยแลกกับการเข้าร่วมกิจกรรมด้วยการแชร์เว็บไซต์หรือการติดตามบัญชีโซเชียลมีเดียของคุณ
แอปประกวดและแจกของรางวัลใน Shopify App Store ช่วยให้การฝังกิจกรรมเหล่านี้ในหน้าแลนดิ้งเพจและบทความบล็อกเป็นเรื่องง่าย การแชร์ผ่านโซเชียลมีเดียช่วยให้กิจกรรมลุ้นโชคมีโอกาสแพร่กระจายไวรัลและขยายการเข้าถึงของคุณ
16. เสนอส่วนลดที่มีระยะเวลาจำกัด
ความสามารถในการเพิ่ม Traffic ให้เว็บ: 👤👤👤👤
ค่าใช้จ่าย: 💰💰💰
ระดับความพยายาม: ภายในไม่กี่วัน
ระดับความพยายาม: ต่ำ
การให้ส่วนลดแบบมีเวลาจำกัดสามารถช่วยกระตุ้นให้คนตัดสินใจลงมือได้อย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งจะช่วยเพิ่ม Traffic และยอดขาย การกำหนดวันหมดอายุของส่วนลดช่วยสร้างความรู้สึกว่าสินค้ามีจำนวนจำกัด เป็นตัวกระตุ้นจิตวิทยาที่ทรงพลังในการขาย
ลองพิจารณาเพิ่มเงื่อนไขการซื้อขั้นต่ำเพื่อรับส่วนลด วิธีนี้เป็นการให้แรงจูงใจแก่ลูกค้าโดยไม่ทำให้กำไรของคุณลดลง
ส่วนลดสินค้าไม่ใช่ข้อเสนอแบบมีเวลาจำกัดเพียงอย่างเดียวที่คุณสามารถมอบให้ลูกค้าได้ หากคุณไม่ค่อยมีนโยบายส่งฟรี การให้ส่งฟรีเป็นครั้งคราวก็เป็นสิ่งจูงใจที่ดีที่จะเพิ่ม Traffic จากแคมเปญโซเชียลมีเดียหรืออีเมลไปยังร้านของคุณ
17. ใช้คอนเทนต์ที่สร้างโดยผู้ใช้
ความสามารถในการเพิ่ม Traffic ให้เว็บ: 👤👤👤
ค่าใช้จ่าย: 💰
ระดับความพยายาม: ภายในไม่กี่วัน
ระดับความพยายาม: ต่ำ
พูดตามตรงเลย การสร้างคอนเทนต์ใหม่ๆ อย่างต่อเนื่องนั้นกินเวลามาก นั่นคือจุดที่คอนเทนต์ที่ลูกค้าสร้างเอง หรือ user-generated content (UGC) เข้ามามีบทบาท การแชร์คอนเทนต์จากลูกค้าที่ชื่นชอบสินค้าหรือบริการของคุณเป็นวิธีง่ายๆ ที่ช่วยเพิ่ม Traffic ไปยังเว็บไซต์ของคุณ UGC ช่วยโปรโมตแบรนด์ด้วยเสียงที่เป็นธรรมชาติ ซึ่งจะช่วยเพิ่มการมีส่วนร่วมและขยายการเข้าถึงแบรนด์ของคุณ
มันยังเป็นทางลัดในการสร้างความไว้วางใจกับลูกค้าใหม่ เพราะคนมักจะเชื่อคำพูดจากผู้บริโภครายอื่นมากกว่าคำพูดจากแบรนด์เอง ที่ดีที่สุดคือ การโพสต์ซ้ำคอนเทนต์ที่ลูกค้าสร้างขึ้นจะช่วยกระตุ้นให้คนอื่นแชร์ประสบการณ์และแท็กธุรกิจของคุณในอนาคต ซึ่งจะสร้างการมองเห็นแบบออร์แกนิกมากขึ้นอีกด้วย
18. ส่งตัวอย่างฟรีให้กับอินฟลูเอ็นเซอร์ใน Instagram
ความสามารถในการเพิ่ม Traffic ให้เว็บ: 👤👤👤👤
ค่าใช้จ่าย: 💰💰
ระยะเวลาเห็นผลลัพธ์: สัปดาห์
ระดับความพยายาม: สูง
การตลาดแบบอินฟลูเอ็นเซอร์คือการร่วมมือกับผู้สร้างคอนเทนต์ที่ประสบความสำเร็จบนโซเชียลมีเดียเพื่อโปรโมตเว็บไซต์ของคุณให้กับกลุ่มผู้ใช้ที่เกี่ยวข้อง รูปแบบการตลาดนี้ใช้ประโยชน์จากความคิดสร้างสรรค์และการเข้าถึงของบุคคลที่มีชื่อเสียงในวงการของคุณ โดยอาศัยความไว้วางใจที่พวกเขาสร้างขึ้นกับผู้ติดตาม เพื่อส่งต่อการเข้าชมมายังร้านของคุณ
ผู้ซื้อถึง 70% ใช้ Instagram เป็นช่องทางในการตัดสินใจซื้อสินค้า ซึ่งชี้ให้เห็นถึงศักยภาพของ Instagram ในการเปลี่ยนการดูสินค้าให้กลายเป็นยอดขาย นี่จึงทำให้ Instagram เป็นช่องทางที่ยอดเยี่ยมในการเพิ่มการมองเห็นแบรนด์และขับเคลื่อนการเข้าชมเว็บไซต์ร้านค้าออนไลน์ของคุณ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อคุณร่วมงานกับอินฟลูเอ็นเซอร์ที่รู้วิธีเจาะระบบอัลกอริทึม
บล็อกเกอร์และคนดังบนโซเชียลมีเดียได้รับความไว้วางใจอย่างสูงจากผู้ติดตาม การหาอินฟลูเอ็นเซอร์ที่เกี่ยวข้องมาแสดงสินค้าของคุณจึงเป็นกลยุทธ์ที่มีประสิทธิภาพในการเพิ่มทราฟฟิก เช่น อินฟลูเอ็นเซอร์สายไลฟ์สไตล์ Estée Lalonde ที่โปรโมตแบรนด์โดยการนำสินค้าไปผสมผสานในคอนเทนต์ไลฟ์สไตล์ของเธอ
การโฆษณาบนโซเชียลมีเดียแบบเสียเงิน
เพื่อเพิ่มจำนวนผู้เข้าชมเว็บไซต์ คุณต้องทำให้ธุรกิจของคุณปรากฏต่อหน้าลูกค้าเป้าหมายได้อย่างแม่นยำ ด้วยโฆษณาแบบเสียเงินบนโซเชียลมีเดีย คุณสามารถสร้างแคมเปญที่มีการกำหนดเป้าหมายเฉพาะเจาะจง เพื่อแสดงโฆษณาที่เหมาะกับลูกค้าที่มีแนวโน้มจะซื้อสินค้าของคุณมากที่สุด
ถ้าคุณสนใจจะใช้โฆษณาแบบเสียเงินบนโซเชียลมีเดีย และมีงบประมาณการตลาด ควรพิจารณาแพลตฟอร์มต่อไปนี้
19. โฆษณาบน Facebook
ความสามารถในการเพิ่ม Traffic ให้เว็บ: 👤👤👤
ค่าใช้จ่าย: 💰💰💰
ระยะเวลาเห็นผลลัพธ์: ภายในไม่กี่วัน
ระดับความพยายาม: ต่ำ
ด้วยผู้ใช้งานมากกว่าสามพันล้านคนต่อเดือน Facebook เป็นแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดียที่ใหญ่ที่สุดในโลก โฆษณาบน Facebook ช่วยให้คุณสามารถกำหนดเป้าหมายผู้ใช้ตามความสนใจ พฤติกรรม สถานที่ และอื่น ๆ ซึ่งช่วยเพิ่มโอกาสในการเปลี่ยนผู้ชมเป็นลูกค้า
ใช้โฆษณาแบบไดนามิกของ Facebook เพื่อกำหนดเป้าหมายลูกค้าที่มีแนวโน้มสนใจโดยอิงจากประวัติการท่องเว็บและกิจกรรมออนไลน์ของพวกเขา เนื้อหาของโฆษณาจะถูกสร้างขึ้นโดยอัตโนมัติ แสดงสินค้าที่เกี่ยวข้องจากเว็บไซต์ของคุณซึ่งคนจะสนใจมากที่สุด
เพื่อการกำหนดเป้าหมายที่แม่นยำขึ้น ให้ติดตั้ง Meta pixel บนเว็บไซต์ของคุณ พิกเซลโฆษณาจะติดตามพฤติกรรมผู้ใช้เพื่อปรับปรุงเนื้อหาและตำแหน่งของโฆษณา
20. โฆษณาบน Instagram
ความสามารถในการเพิ่ม Traffic ให้เว็บ: 👤👤👤
ต้นทุน: 💰💰
เวลาเห็นผล: ภายในไม่กี่วัน
ความพยายาม: ต่ำ
มากกว่า 62% ของผู้ใช้ Instagram ที่มีจำนวนกว่า 2 พันล้านคน ติดตามหรือค้นหาแบรนด์ต่างๆ นั่นหมายความว่าการมีบัญชีธุรกิจบน Instagram สามารถเป็นแหล่งทราฟฟิกคุณภาพที่สร้างการมีส่วนร่วมได้อย่างดีเยี่ยม แต่ถ้ามุ่งเน้นแค่การสร้างการมีส่วนร่วมแบบออร์แกนิก อาจทำให้คุณพลาดโอกาสที่แท้จริงของแพลตฟอร์มนี้ การเพิ่มโฆษณา Instagram เข้ามาในกลยุทธ์คอนเทนต์ของคุณ จะช่วยดันทราฟฟิกเข้าเว็บไซต์ และเพิ่มยอดขายได้ อีกทั้งคุณยังสามารถขายตรงบน Instagram ได้เลย โดยไม่ต้องพาให้ลูกค้าออกจากแพลตฟอร์ม
หากตอนนี้คุณยังใช้บัญชีส่วนตัว การเปลี่ยนเป็นบัญชีธุรกิจจะช่วยปลดล็อกฟีเจอร์เพิ่มเติมที่จำเป็นสำหรับการทำโฆษณา โดยคุณสามารถสร้างโฆษณาได้หลากหลายรูปแบบ เช่น รูปภาพ วิดีโอ คารูเซล คอลเล็กชัน และสตอรี่ ซึ่งเปิดโอกาสให้ทำการตลาดได้อย่างสร้างสรรค์
การใช้เครื่องมือและแฮชแท็กของ Instagram รวมถึงการเกาะกระแสเทรนด์ล่าสุด จะช่วยเพิ่มผู้ติดตาม และเสริมพลังให้แคมเปญของคุณ
21. โฆษณาบน Pinterest
ความสามารถในการเพิ่ม Traffic ให้เว็บ:👤👤👤
ต้นทุน: 💰💰💰
เวลาเห็นผล: ภายในไม่กี่วัน
ความพยายาม: ต่ำ
หากคุณกำลังมองหาวิธีดึงดูดผู้ซื้อเข้าร้านออนไลน์ Pinterest เป็นแหล่งทราฟฟิกที่มีความตั้งใจสูง และมีความสนใจชัดเจน จากข้อมูลของ Pinterest พบว่า ผู้ใช้บนแพลตฟอร์มนี้มีแนวโน้มที่จะมีกำลังซื้อสูงกว่าผู้ใช้โซเชียลมีเดียอื่นๆ
Promoted Pins เหมาะมากสำหรับการเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายที่กำลังมองหาไอเดียหรือสินค้าอยู่ โดยโฆษณาประเภทนี้จะโชว์คอนเทนต์ของคุณในตำแหน่งบนสุดของผลการค้นหา และมีผลต่อการตัดสินใจซื้อของผู้ใช้
Pinterest จะได้ผลดีที่สุดกับกลุ่มเป้าหมายเฉพาะ เช่น คนที่กำลังแต่งสวน วางแผนงานแต่ง หรือปรับแต่งบ้านใหม่ แพลตฟอร์มนี้จะช่วยเชื่อมโยงแบรนด์ของคุณเข้ากับความสนใจของลูกค้าได้อย่างแนบเนียน
22. โฆษณา Google Ads
ความสามารถในการเพิ่ม Traffic ให้เว็บ:👤👤👤👤
ต้นทุน: 💰💰💰💰
เวลาเห็นผล: ภายในไม่กี่วัน
ความพยายาม: สูง
Google Ads แตกต่างจากโฆษณาบนโซเชียลมีเดีย เพราะเป็นการยิงโฆษณาไปยังผู้ที่กำลัง ค้นหา สินค้าหรือคอนเทนต์ที่เว็บไซต์ของคุณมีอยู่ โดยตรง คุณสามารถนำหน้าเว็บไปแสดงต่อผู้ใช้ที่ค้นหาคำที่เกี่ยวข้องบน Google หรือ YouTube ได้เลย
ประเภทโฆษณา Google ที่มีให้เลือกใช้ เช่น:
-
Search Ads: โชว์บนหน้าผลการค้นหา
-
Display Ads: แสดงในเครือข่าย Google Display Network
-
Shopping Ads: เน้นโชว์ภาพและสินค้าในผลการค้นหา
- Video Ads: ดึงความสนใจผ่าน YouTube
การเข้าใจเครื่องมือเหล่านี้ และนำมาใช้ได้อย่างถูกวิธี จะช่วยให้คุณใช้เม็ดเงินโฆษณาได้คุ้มค่าที่สุด อย่างไรก็ตาม การสร้างและจัดการโฆษณาเหล่านี้เป็นทักษะที่ต้องใช้เวลาเรียนรู้ แต่หากทำได้ถูกทาง คุณจะได้ทราฟฟิกคุณภาพเข้าเว็บไซต์แบบล้นหลาม
23. โฆษณา TikTok
ความสามารถในการเพิ่ม Traffic ให้เว็บ: 👤👤👤👤
ต้นทุน: 💰💰
เวลาเห็นผล: ภายในไม่กี่วัน
ความพยายาม: ปานกลาง
แม้จะมีคำถามเรื่องอนาคตในตลาดสหรัฐฯ TikTok ก็ยังคงเป็นแพลตฟอร์มทรงพลังสำหรับการสร้างทราฟฟิก ผู้ใช้มองว่า TikTok เป็นแหล่งค้นพบคอนเทนต์ใหม่ๆ ที่ตรงกับความสนใจ สำหรับนักการตลาด นี่คือโอกาสในการเชื่อมต่อกับผู้ชมขนาดใหญ่ในแทบทุกกลุ่มเป้าหมาย
แม้การผลิตคอนเทนต์ TikTok ต้องใช้เวลา แต่แพลตฟอร์มนี้ก็เป็นเครื่องมือการตลาดที่น่าเพิ่มเข้าในแผนงานของคุณ และด้วย TikTok Shop คุณยังสามารถขายสินค้าได้โดยตรงบนแพลตฟอร์ม ไม่ต้องพยายามดึงผู้ใช้เข้าเว็บไซต์เสมอไป
แพลตฟอร์มโฆษณาของ TikTok ใช้งานง่าย มีตัวเลือกงบประมาณและการกำหนดกลุ่มเป้าหมายให้เลือกได้สะดวก
การสร้างทราฟฟิกแบบออฟไลน์
ถ้าแบรนด์ของคุณมีตัวตนในโลกจริง—ไม่ว่าจะเป็นอีเวนต์ ร้านค้าจริง หรือบรรจุภัณฑ์สินค้า—คุณสามารถเปลี่ยนการมีส่วนร่วมแบบออฟไลน์ (IRL) ให้กลายเป็นทราฟฟิกเว็บไซต์ได้ การเชื่อมโยงช่องทางออนไลน์และออฟไลน์เข้าด้วยกัน จะช่วยให้คุณสร้างประสบการณ์แบบไร้รอยต่อให้กับลูกค้า
24. ชวนลูกค้าในร้านมาเชื่อมต่อออนไลน์
ความสามารถในการเพิ่ม Traffic ให้เว็บ: 👤👤👤
ต้นทุน: 💰
เวลาเห็นผล: เป็นสัปดาห์
ความพยายาม: ปานกลาง
ถ้ามีหน้าร้านหรือจัด pop-up ใช้โอกาสนี้เพื่อสร้างฐานผู้ติดตามออนไลน์ ลูกค้าที่มีประสบการณ์จริงกับแบรนด์ มีแนวโน้มจะติดตามต่อออนไลน์ ถ้าคุณมอบข้อเสนอจูงใจ เช่น ส่วนลดพิเศษ คะแนนสะสม หรือสิทธิ์เข้าถึงสินค้าก่อนใคร
แนะนำให้โปรโมตเว็บไซต์ในพื้นที่จริงอย่างชัดเจน ทั้งป้ายโฆษณา ใบเสร็จ และแพ็กเกจสินค้า เพื่อให้ลูกค้าเข้าหน้าแลนดิ้งเพจหรือโปรโมชันเฉพาะ อีกทางเลือกหนึ่งคือเก็บอีเมลจากลูกค้าในขั้นตอนชำระเงิน โดยเสนอให้สมัครรับจดหมายข่าวเพื่อรับโค้ดส่วนลดสำหรับร้านออนไลน์
25. สร้าง QR Code
ความสามารถในการเพิ่ม Traffic ให้เว็บ: 👤👤
ต้นทุน: 💰
เวลาเห็นผล: ภายในไม่กี่วัน
ความพยายาม: ต่ำ
หลังปี 2020 ผู้คนเริ่มคุ้นเคยและชื่นชอบความสะดวกของ QR Code มากขึ้น QR Code ช่วยให้ลูกค้าเข้าถึงเว็บไซต์ได้ทันทีจากโฆษณาออฟไลน์ เพียงแค่เปิดกล้องมือถือ ส่อง QR Code แล้วแตะลิงก์ที่แสดงขึ้น
คุณสามารถฝัง QR Code ลงในบรรจุภัณฑ์ ใบปลิวงานอีเวนต์ หรือป้ายหน้าร้าน เพื่อพาผู้ใช้ไปยังหน้าเว็บไซต์ หน้าสินค้า หรือโปรโมชันเฉพาะได้
💡ใช้ ตัวสร้าง QR Code ฟรีจาก Shopify ได้เลย 💡
26. ร่วมกิจกรรมในคอมมูนิตี้
ความสามารถในการเพิ่ม Traffic ให้เว็บ: 👤👤👤👤
ต้นทุน: 💰💰💰
เวลาเห็นผล: เป็นสัปดาห์
ความพยายาม: สูง
ลองหาวิธีร่วมมือกับธุรกิจท้องถิ่นอื่นๆ ในงานอีเวนต์ในชุมชน งานแฟร์ pop-up และกิจกรรมอื่นๆ ที่สร้างการรับรู้แบรนด์ การแจกตัวอย่างสินค้า ของแถม หรือให้ทดลองใช้ จะช่วยดึงความสนใจและให้ผู้คนได้สัมผัสแบรนด์ของคุณโดยตรง
เวลาร่วมกิจกรรม ควรทำให้ชัดเจนว่าผู้ร่วมงานสามารถมีปฏิสัมพันธ์กับแบรนด์ต่อออนไลน์ได้อย่างไร เช่น แจกใบปลิว พร้อมโปรโมชันพิเศษสำหรับผู้ที่เข้าเว็บไซต์ แจกโค้ดโปรโมชันเฉพาะงาน หรือเชิญชวนให้ติดตามโซเชียลมีเดียของแบรนด์ต่อไป
วิธีเลือกกลยุทธ์การตลาด
ตัวเลือกในการทำการตลาดมีให้เลือกมากมาย ซึ่งถือเป็นข้อดีเพราะคุณสามารถเลือกวิธีที่เหมาะกับธุรกิจของคุณได้จริงๆ แต่อีกด้านก็อาจทำให้รู้สึกสับสนไม่น้อย
เพื่อเลือกกลยุทธ์ที่ตอบโจทย์ที่สุด ลองเริ่มจากถามตัวเองก่อนว่า
- เป้าหมายการตลาดของเราคืออะไร?
- มีเวลามากแค่ไหนที่จะทุ่มให้กับการตลาด?
- งบประมาณการตลาดมีเท่าไร และมีงบจ้างคนช่วยหรือไม่?
เราจะพาคุณไปดูวิธีตอบคำถามสำคัญเหล่านี้ เพื่อช่วยเลือกกลยุทธ์ที่เหมาะที่สุดกับธุรกิจของคุณ
1. ตั้งเป้าหมายให้ชัดเจน
ระยะของธุรกิจ จะมีผลต่อเป้าหมายของคุณ ถ้าเพิ่งเริ่มต้นธุรกิจ สิ่งสำคัญคือการสร้างการรับรู้แบรนด์และดึงทราฟฟิกเข้าเว็บไซต์อย่างรวดเร็ว เพื่อสร้างฐานลูกค้า กลยุทธ์อย่างการสร้างฐานผู้ติดตามโซเชียล และทดลองทำโฆษณาแบบเสียเงินอาจช่วยได้มาก
ในทางกลับกัน ถ้าดำเนินธุรกิจมาแล้วหลายปี แต่ยอดขายหรือการเติบโตยังไม่เป็นไปตามที่คาด อาจถึงเวลามองหากลยุทธ์ระยะยาว เช่น การทำ SEO ซึ่งแม้จะใช้เวลาสักพัก แต่ช่วยสร้างทราฟฟิกอย่างต่อเนื่องได้ในระยะยาว
นอกจากนี้ ควรคิดถึงลำดับความสำคัญทั้งระยะสั้นและระยะยาวด้วย เช่น คุณต้องการยอดขายเร็วๆ สำหรับการเปิดตัวสินค้าใหม่ หรืออยากสร้างทราฟฟิกระยะยาวที่ผู้ใช้จะกลับมาเรื่อยๆ? กลยุทธ์แต่ละแบบจะให้ผลต่างกัน เป้าหมายจึงควรกำหนดแนวทางที่เหมาะสม และเลือกรูปแบบที่ตอบโจทย์ Timeline ที่คุณต้องการเห็นผลลัพธ์
2. พิจารณากลุ่มเป้าหมายของคุณ
รู้จักกลุ่มเป้าหมาย อย่างลึกซึ้งเป็นหัวใจสำคัญ และต้องเลือกกลยุทธ์ที่เข้าถึงพวกเขาได้อย่างมีประสิทธิภาพ ตัวอย่างเช่น การดังใน TikTok อาจสร้างทราฟฟิกเข้าเว็บไซต์มหาศาล แต่ถ้าไม่ใช่กลุ่มที่ซื้อของจากคุณ ก็อาจไม่เกิดประโยชน์ ในทางตรงข้าม โพสต์บน LinkedIn หรือโฆษณา Google ที่แม้จะไม่ได้ viral แต่ตรงกลุ่มเป้าหมาย อาจให้ conversion ได้สูงกว่า
ลองถามตัวเองว่า
- กลุ่มเป้าหมายใช้เวลาอยู่ที่ไหนมากที่สุด? โซเชียลมีเดีย, เสิร์ชเอนจิน หรือฟอรัม
- พวกเขาชอบคอนเทนต์แบบไหน? บทความเชิงลึก วิดีโอ หรือโพสต์สั้นๆ
- ปัญหาของพวกเขาคืออะไร? และสินค้าของคุณช่วยตอบโจทย์นั้นได้อย่างไร
เช่น ถ้ากลุ่มเป้าหมายเป็นวัยทำงาน อาจเน้น LinkedIn หรือแคมเปญอีเมล แต่ถ้าเป็นวัยรุ่นหรือคนรุ่นใหม่ การใช้ Instagram Reels หรือ TikTok จะเหมาะกว่า ยิ่งปรับการตลาดให้ตรงกับความสนใจของกลุ่มเป้าหมายมากเท่าไร ก็ยิ่งมีโอกาสสร้างทราฟฟิกที่มีคุณภาพสูงและนำไปสู่ยอดขายได้มากขึ้น
3. ดูงบประมาณของคุณ
จากผลสำรวจ The CMO Survey (Spring 2024) ธุรกิจที่มีรายได้น้อยกว่า 10 ล้านเหรียญต่อปี มักใช้งบการตลาดราว 16% ของงบรวม ทั้งนี้ไม่ใช่กฎตายตัว ถ้าธุรกิจเพิ่งเริ่มหรือมีข้อจำกัดทางการเงิน อาจไม่ต้องถึงขนาดนั้นก็ได้
โดยทั่วไปคุณควรเช็กงบก่อนเลือกกลยุทธ์
- กลยุทธ์ใช้งบสูง เช่น การทำโฆษณาแบบเสียเงิน ให้ผลเร็ว แต่ต้นทุนสูงและมักไม่สร้างผลระยะยาว
- กลยุทธ์ใช้งบต่ำ เช่น การทำคอนเทนต์มาร์เก็ตติ้ง หรือการทำโซเชียลแบบออร์แกนิก แม้จะใช้เวลานาน แต่สร้างมูลค่าแบบยั่งยืนได้มากกว่า
4. ใช้ทักษะที่มีอยู่ (หรือเตรียมจ้างมืออาชีพ)
บางกลยุทธ์สามารถทำได้เอง แม้ไม่มีพื้นฐานการตลาด เช่น การทำบล็อก หรือการทำแคมเปญอีเมล โดยใช้เครื่องมืออย่าง Shopify Email และวางแผนคอนเทนต์ด้วย content calendar แบบง่ายๆ เหมาะกับเจ้าของธุรกิจที่มีเวลาจำกัด
แต่บางกลยุทธ์ต้องใช้ความเชี่ยวชาญมาก เช่น การทำ PPC, การจัดการ SEO หรือการผลิตวิดีโอคุณภาพสูง ซึ่งต้องใช้เวลาเรียนรู้และลงมือทำพอสมควร
คุณจึงต้องประเมินอย่างตรงไปตรงมาว่าส่วนไหนทำเองได้ ส่วนไหนควรจ้าง ถ้ารู้สึกว่าทำเองจะเกินกำลังหรือทำได้ไม่ดีพอ การจ้างมืออาชีพอาจคุ้มค่ากว่าในระยะยาว
5. เริ่มเล็กๆ แล้วค่อยขยาย
กลยุทธ์การตลาดที่ดีควรผสมผสาน กลยุทธ์ระยะสั้นและระยะยาว อย่างสมดุล แต่การลองทำทุกอย่างพร้อมกันจะทำให้เหนื่อยเปล่าและได้ผลไม่ดี
เริ่มจากเลือก 1-2 กลยุทธ์ ที่สอดคล้องกับเป้าหมายและทรัพยากรของคุณ เมื่อเชี่ยวชาญแล้วค่อยกลับมาเลือกกลยุทธ์ถัดไปเพื่อขยายผล
6. วัดผลและปรับแผน
ทุก 2-3 เดือน ควรนั่งทบทวนประสิทธิภาพของกลยุทธ์การตลาด โดยใช้เครื่องมือวิเคราะห์เว็บไซต์ เช่น Shopify Analytics ซึ่งจะรายงานทราฟฟิก ค่าเฉลี่ยการสั่งซื้อ การมีส่วนร่วมในเว็บไซต์ และ % ทราฟฟิกจากลูกค้าใหม่
ถ้าใช้ SEO ก็อาจเสริมด้วย Google Analytics หรือ Google Search Console เพื่อเก็บข้อมูลเชิงลึก
วิเคราะห์ว่ากลยุทธ์ที่เลือกตอบเป้าหมายจริงหรือไม่ เช่น ถ้าต้องการลูกค้าคุณภาพสูง แต่กลยุทธ์ปัจจุบันดึงแต่ลูกค้าใหม่เข้ามา อาจต้องปรับแผนและเลือกวิธีที่สอดคล้องกับเป้าหมายมากกว่า
ยิ่งเพิ่ม Traffic ให้เว็บได้มาก ยิ่งมีโอกาสเพิ่มยอดขาย
การเพิ่มทราฟฟิกเว็บไซต์เริ่มจากการเลือกกลยุทธ์การตลาดและช่องทางที่เหมาะสม กลยุทธ์ที่ดีต้องผสมผสานระหว่าง แผนระยะสั้นและระยะยาว เมื่อคุณเชี่ยวชาญในกลยุทธ์หนึ่งแล้ว อย่าลืมกลับมาเลือกกลยุทธ์ใหม่ๆ เพื่อเสริมพลังการตลาดต่อไป
คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับวิธีเพิ่ม Traffic ให้เว็บ
จะเพิ่ม Traffic ให้เว็บได้อย่างไร?
เริ่มจากการปรับแต่งเว็บไซต์ให้เหมาะกับการค้นหาผ่าน Google (SEO) เพื่อเพิ่มการมองเห็นในผลการค้นหา จากนั้นสร้างการมีส่วนร่วมกับกลุ่มเป้าหมายผ่านแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดีย เช่น Facebook, Instagram และ X โดยเนื้อหาที่นำเสนอควรสอดคล้องกับความสนใจและความต้องการของกลุ่มเป้าหมาย
นอกจากนี้ การลงทุนในเนื้อหาที่มีคุณภาพและน่าสนใจยังช่วยกระตุ้นให้เกิดการแชร์และสร้างแบ็คลิงก์ ควรพิจารณาทำโฆษณาแบบ pay-per-click แบบเจาะจงกลุ่มเป้าหมาย และร่วมมือกับอินฟลูเอนเซอร์เพื่อขยายการเข้าถึง อีกทั้งการเพิ่มความเร็วเว็บไซต์ รองรับการใช้งานบนมือถือ ลงชื่อเว็บไซต์ในไดเรกทอรีออนไลน์ และทำ guest blogging ก็เป็นกลยุทธ์ที่ช่วยเพิ่มยอดผู้เข้าชมได้เช่นกัน
มีวิธีเพิ่ม Traffic ให้เว็บไซต์แบบไม่เสียเงินหรือไม่?
คุณสามารถสร้างทราฟฟิกแบบออร์แกนิกให้กับเว็บไซต์ได้โดยใช้กลยุทธ์การตลาดแบบฟรี เช่น
- สร้างฐานผู้ติดตามที่ภักดี เพิ่มการมีส่วนร่วม และขยายการเข้าถึง โดยโพสต์คอนเทนต์ที่มีคุณค่าอย่างสม่ำเสมอ เน้นการแก้ปัญหาหรือให้ข้อมูลเชิงลึกที่เป็นประโยชน์ต่อผู้ติดตาม
- ใช้อีเมลลิสต์ในการสร้างความสัมพันธ์ระยะยาวกับผู้ชม เพื่ออัปเดตข่าวสารและผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ
- เพิ่มการมองเห็นแบรนด์ผ่านการเข้าร่วมสนทนาในคอมมูนิตี้และฟอรัมออนไลน์ที่เกี่ยวข้อง
- ปรับปรุงอันดับการค้นหาแบบออร์แกนิกด้วยกลยุทธ์ SEO
- ขยายกลุ่มเป้าหมายใหม่ๆ ผ่านการทำ guest blogging
จะเพิ่มทราฟฟิกแบบออร์แกนิกเข้าเว็บไซต์ได้ยังไง?
หัวใจสำคัญคือการปรับแต่งคอนเทนต์ให้เหมาะกับการค้นหาผ่าน SEO เริ่มจากการค้นหา Keyword และวลีหลักที่กลุ่มเป้าหมายใช้ค้นหา แล้วสร้างคอนเทนต์ที่ตอบโจทย์คำค้นเหล่านั้น เนื้อหาควรมีคุณภาพสูงและเกี่ยวข้องกับความต้องการของผู้ใช้ การอัปเดตเว็บไซต์อย่างสม่ำเสมอด้วยคอนเทนต์ใหม่ๆ ที่เป็นประโยชน์ จะช่วยดึงผู้ชมกลับมาอีกครั้ง และยังส่งสัญญาณให้ Google เห็นว่าเว็บไซต์มีความน่าเชื่อถือ
ถ้าอยากเพิ่ม Traffic ให้เว็บเร็วๆ ต้องทำอย่างไร?
หากต้องการเพิ่มทราฟฟิกอย่างรวดเร็ว แนะนำให้ลงทุนในโฆษณาแบบ Pay-Per-Click (PPC) เพื่อแสดงลิงก์เว็บไซต์ต่อหน้ากลุ่มเป้าหมายในช่องทางค้นหาและโซเชียลมีเดีย วิธีนี้จะช่วยสร้างทราฟฟิกจำนวนมากได้ทันทีหลังจากโฆษณาออนไลน์
จะใช้โซเชียลมีเดียเพิ่มทราฟฟิกเว็บไซต์ได้ยังไง?
ใช้โซเชียลมีเดียเพื่อสร้างการมีส่วนร่วมกับผู้ชม พร้อมพาลิงก์กลับเข้าเว็บไซต์ โพสต์คอนเทนต์ที่โดนใจกลุ่มเป้าหมาย เช่น โชว์เคสสินค้า บทความบล็อก หรือโปรโมชันพิเศษ พร้อมใส่คำกระตุ้นการคลิก (CTA) ที่ชัดเจนเพื่อพาผู้ชมเข้าเว็บไซต์ นอกจากนี้ยังสามารถใช้โฆษณาแบบจ่ายเงินเพื่อขยายการเข้าถึง และแชร์คอนเทนต์จากผู้ใช้งานจริง (UGC) เพื่อเสริมสร้างความน่าเชื่อถือและการมีส่วนร่วม
จำเป็นต้องปรับการแสดงผลเว็บไซต์ให้เหมาะกับมือถือหรือไม่?
จำเป็นอย่างยิ่ง เพราะปัจจุบัน 2 ใน 3 ของยอดซื้อออนไลน์มาจากอุปกรณ์มือถือ การปรับเว็บไซต์ให้เหมาะกับการใช้งานผ่านมือถือจึงเป็นสิ่งสำคัญมาก ตรวจสอบให้แน่ใจว่าเว็บไซต์มีดีไซน์ที่รองรับการแสดงผลบนมือถือ โหลดเร็ว และใช้งานง่ายบนหน้าจอขนาดเล็ก ฟีเจอร์เสริมอย่างปุ่ม Cick-to-Call และเมนูแบบเรียบง่าย จะช่วยให้ประสบการณ์ใช้งานดีขึ้น และเพิ่มโอกาสในการเปลี่ยนเป็นยอดขายได้อย่างมีประสิทธิภาพ